เห็ดขี้ควาย หรือ เห็ดวิเศษ ภาษาอังกฤษ: Magic mushroom

เห็ดขี้ควาย หรือ เห็ดวิเศษ ภาษาอังกฤษ: Magic mushroom

admin No Comments

  •  เห็ดขี้ควายมี ชื่อภาษาอังกฤษ: Magic mushroom
  •   ชื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์: Psilocybe เป็นเห็ดที่ขึ้นจริงตามกองมูลควายแห้ง

  สีของดอกจะมีสีเหลืองอมน้ำตาลเข็มจนถึงสีดำ เห็ดขี้ควายมีขึ้นอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย ในเห็ดขี้ควายจะมีสารPsilocybeประกอบอยู่ ซึ่งสารตัวนี้มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างกับสมอง ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวจูนเปิดการรับรู้ในขั้นสูง ทำไห้ผู้ที่กินเข้าไป เกิดการรับรู้ที่เหนือธรรมชาติได้

 โดยได้สัมผัสสิ่งแปลกใหม่เกิดความเข้าใจในชีวิตตัวเองมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่กินแล้วจะพบกับสิ่งที่ดี มีปัจจัยหลายอย่างที่ผู้กินจะต้องทำความเข้าใจ เมื่อเราได้กินเห็ดเข้าไป ประสาทการรับรู้ของเราจะเริ่มทำงานผิดปกติ ได้เห็นภาพชัดขึ้น ได้ยินเสียงจากที่ไกล มีสมาธิมากขึ้นเข้าใจธรรมชาติเข้าใจชีวิต 

 แต่ทว่ามันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลทำไห้เราเกิดอาการbadtripได้เช่นกัน อาการbadtrip อาจจะส่งผลไห้เราเกิดความกลัว จิตตก เกิดภาพหลอน ได้รับแต่พลังงานลบ ทำไห้รู้สึกไม่ดีขนะใช้เห็ด ถึงแม้เห็ดขี้ควายจะขึ้นในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้ถูกกฎหมายเลย ซะทีเดียว

  เห็ดขี้ควายจัดอยุ่ในยาเสพติดแระเภทที่5 ซึ่งมีฤทธิ์ต่อระบบสาดอย่างรุนแรง ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดประเภทที่5มีโทษจำคุกกรือทั้งจำทั้งปรับ แต่วารสารทางสมาคมแพทย์ อเมริกัน ทางจิตเวช ได้ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการว่า เห็ดชนิดนี้ใช้ในการรักษาโรคหดหู่ ซึมเศร้าได้ ทำให้ที่ผ่านมามีบริษัทยายักษ์ใหญ่ทั้งทางฝั่งอเมริกา และยุโรปล้วนจดสิทธิบัตรกับองค์กรการแพทย์ เพื่อทำการทดลองการใช้เห็ดขี้ควายในการรักษาต่อไป

 จนกว่าจะสกัดเป็นยาเพื่อการรักษาในที่สุด ปัจจุบรรเห็ดที่พบสารPsilocybeมีมากกว่า100ชนิด ในประวัติสาตรมีการค้นพบว่ามีการใช้เห็ดขี้ควายหรือสารPsilocybeมานานกว่า9000ปี 

การใช้เห็ดวิเศษซึ่งพบบ่อยที่สุดในวัฒนธรรมคือการรักษาทางจิตวิญญาณ

 หรือใช้เพื่อเชื่อมต่อสื่อสารกับเทพเจ้าของพวกเขา เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทดิ์ที่ทำไห้มนุษเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง สารPsilocybeมีการออกฤทธิ์ประมาณ6-8ชั่วโมง เมื่อได้รับสารPsilocybeเข้าไปในร่างกายในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลร้ายต่อร่างกายเช่นกัน

อย่างเช่นอาเจียนเเน่นหน้าอก เห็นภาพหลอน หรืออาจเกิดอาการแพ้อย่างรุ่นแรง ผู้ที่จะใช้เห็ดวิเศษนี้ควรจะศึกษาหรือหาผู้ที่เคยใช้อย่างชำนานหาคำเเนะนำเเละเตรียมสภาพจิตใจก่อนใช้แล้ะคสรใช้ในปริมาณที่พอดี

 

 

สนับสนุนโดย    huaydee

อันนุนะกิ นักเดินทางอวากาศ

admin No Comments

อินุนากิ กลุ่มเทพผู้มาจากอวกาศของอารยธรรมชาวสุเมเรี่ยน มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทูกจดบันทึกไว้ในศิลาจาลึกของชาวสุเมเรี่ยน โดยที่ชาวสุเมเรี่ยนก็เป็นอารยะธรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกมนุษย์ นักประวัติศาสตร์ได้จับต้นชนปลาย แล้วก็ปะติดปะต่อ เรื่องราวนี้ออกมาเท่าที่จะทำได้

 

 เรื่องราวที่จะเล่ามีทั้งความเชื่อและก็จินตนาการก็ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านหรือฟังเพราะอาจจะมีหลายๆเรื่องซึ่งอาจจะไปขัดกกับหลักศาสนาของหลายศาสนาได้ ย้อนเวลากลับไปเมื่อราว ๆ450000 ก่อนคริสตกาล ในระบบสุริยะจักวาลของเรา นอกจากดาวที่เราได้รู้จักกันเเล้วเช่น ดวงอาทิตย์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน แต่ยังมีดาวเคราะอีกหนึ่งดวงที่มีชื่อว่าดาวนิบิรุ

 

บนดาวนิบิรุมีสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมปัญญาอาศัยอยู่ ก็คือกลุ่มชาวอันนุนากิ พวกเขาก็ได้มีรูปร่างที่เหมือนมนุษย์ แต่มีร่างกายที่แข็งเเรงกว่า และมีพละกำลังและขนาดตัวที่ใหญ่กว่า ถึงสามเท่าชาวอันนุนากิ ยังมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาก ๆ หนึ่งในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยก็คือการเดินทางข้ามจักวาล ด้วยยานอวากาศของพวกเขา

 

ซึ่งดาวนิบิรุถึงแม้ว่าจะเป็นดาวที่มีวิวัฒนาการสูง เเต่ว่าพวกเขาก็พบเจอกับปัญหาหลักอยู่ปันหาหนึ่งก็คือ ดวงดาวได้พบเจอกับความแห้งแล้งมากขึ้นทุกปี

เกิดภาวะขาดแคลนภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งชาวอันนุนากิ จะมีพิธีกรรมป้องกันภัยแล้งนั้นได้ แต่สิ่งที่พวกเข้าต้องใช้ในพิธีกรรมนี้ นั่นก็คือแร่ทอง แต่บนดาวนิบิรุนั้นมีแร่ทองอยู่น้อยมาก และก็ใกล้หมดลงไปทุกที

พวกเขาเลยจำเป็นต้องส่งทีมสำรวจเดินทางไปยังดวงดาวต่าง ๆ เพื่อค้นหาเเร่ทองมาใช้ ซึ่งหนึ่งในยานสำรวจก็ได้มาค้นพบกับดาวโลก

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงโลก ตอนนั้นมนุษย์ยังไม่ได้ถือกำเหนิดขึ้นมา สิ่งมีชีวิตตอนนั้น ก็มีพวกแมมมอส เสือเขี้ยวดาบ และพวกวานรอาศัยอยู่บนโลกในตอนนั้น ซึ่งกลายเป็นว่าบนโลกมีแร่ทองคำที่ยังไม่ได้ขุดอยู่มากมาย ทำไห้กลุ่มนักสำรวจชาวอันนุนากิตัดสินใจ สร้างเมืองขึ้นมาหนึ่งเมือง ซึ่งก็เป็นเมืองที่ใหญ่อลังการมาก ๆ

 

ที่ตั้งของเมืองก็คือบริเวรเมโสโปเตเมีย และเมืองนี้ก็เป็นที่พักผ่อนของชาวอันนุนา ที่เดินทางมาบนโลก ภาระกิจหลักของพวกเขาก็คือ การมาขุดทอง เพื่อส่งกับไปยังดาวนิบิรุบ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาได้ใช้แรงงานจากกลุ่มต่างดาวที่แพ้สงครามไห้กับพวกเขา มาเป็นแรงงานขุดทอง จนเวลาผ่านไปกลุ่มแรงงานต่างดาว ที่ถูกใช้เยี่ยงทาสก็ได้เกิดการลุกขึ้นสู้ ก่อสงครามกับชาวอันนุนากิอีกครั้ง

แต่ชาวอันนุนากิมีอาวุทที่ล้ำสมัยและทรงพลังมากบวกกับพละกำลัง และร่างกายที่ใหญ่โต ทำไห้ช่าวต่างดาวนั้น ได้พ่ายแพ้และถูกกำจัดทิ้งทั้งหมด ต่อมาชาวอันนุนากิ ได้จับวานรมาทำการทดลองและก็สร้างเผ่าพันใหม่ขึ้นมานั่นก็คือมนุษย์ในปัจจุบันนั่่นเอง

 

สนับสนุนโดย    hoiana เวียดนาม

กำเนิดระบบสุริยะ ของโลก

admin No Comments

กำเนิดระบบสุริยะ ของโลก เมื่อประมาณ 4,600,000,000 ปีที่แล้ว โลกของเราได้ทำการเกิดระบบหนึ่งที่สร้างกลุ่มที่เกิดฝุ่นและแก๊สในระบบสุริยะ ของระบบอวกาศที่เรียกว่าเนบิวลาสุริยะ สสารค่อยๆรวมตัวกันจนมีความหนาแน่นมากขึ้น บริเวณที่มีความหนาแน่นสูงสุดจะกลายเป็นศูนย์กลางของระบบ

ความรุนแรงที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง โดยอยู่ในศูนย์กลาง ส่งผลให้มีการดึงดูดโดยรอบเข้าสู่ศูนย์กลางบริเวณที่ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง จากนั้นก็ทำการก่อตัวขนาดใหญ่และหมุนเวียนเป็นวง โดยทำการป้อนสิ่งที่เราเรียกว่ามวลสารเพื่อให้เข้าสู่ใจกลาง โดยพวกเราเรียกขนาดนี้ว่าดวงอาทิตย์

 

ก่อนที่กระบวนการสสารที่มันยังคงทำงานเพื่อดึงดูดสสารต่อไป ทำให้ดาวเคราะห์มีการก่อตัวขึ้นจากแหล่งหินและบรรดาฝุ่น บริเวณวงแหวนที่เป็นใจกลางของแกนกาแล็กซี่ จากนั้นมันจะทำการรวมตัวกัน ทำให้รวมตัวกันเป็นก้อนหินที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และกลายเป็นก้อนน้ำแข็งในที่สุด

 

ระบบที่มีขนาดเล็กพวกมันจะคอยทำหน้าที่ดึงดูดมวลสารต่างๆ เพื่อนำเข้ามารวม ตรงที่เป็นใจกลางของมัน โดยทางระบบจะให้พลังงานสูงและมีความร้อนสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

จึงมีผลต่อสสารที่อยู่ล้อมรอบหรือใกล้ๆ นั่นจึงทำให้มีแค่เพียงสิ่งที่เป็นวัตถุประเภทหินและเหล็กเท่านั้น ที่มันยังคงสภาพเหมือนเดิม และจากนั้นมันจะเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นที่รั้กในชื่อดาวเคราะห์หินของเรานี่เอง

 

และนอกจากนั้นจะมีส่วนอื่นที่อยู่ไม่ใกล้นักจะเต็มไปด้วยเหล่าสสาร ได้แก่แก๊ส น้ำแข็ง และน้ำแข็งมีเทน โดยมันทำการก่อตัวขึ้นที่เราเรียกว่าดาวเคราะห์แก๊สนั่นแหละ โดยจะรวมดาวเหล่านี้ว่า ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน และเมื่อใจกลางของระบบเหล่านี้มีความร้อนที่สูงขึ้น

จะส่งผลให้เหล่าไฮโดนเจนทำการหลอมรวมตัวกันเป็นฮีเลี่ยม และทำให้มีพลังงานที่มากๆเราจะเรียกพลังงานนี้ว่า ปฏิกิริยานิวเคลียฟิวชั่น โดยมันเกิดจากการสร้างและการผลักแงต้านทานที่การยุบตัวลง คงเพราะว่าแรงที่เกิดแรงโน้มถ่วงมีสภาวะที่สมดุลขึ้น นั่นจึงทำให้ดวงอาทิตย์มีสภาพที่เป็นแบบนี้จนถึงณะตอนนี้

 

จากที่ Protostar ได้ทำการก่อตัวที่รวมเป็นกลุ่มเมฆจะทำให้มีความหนาแน่ และส่งผลทำให้ร้อน จนทำให้เมฆมีสสารที่ลดลงจนเหลือเพียงแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์  เท่านั้นโดยรวมแด้วยแก๊สและฝุ่นรวมเข้าด้วยกันจนแน่น ทำให้มีการก่อตัวขึ้นเป็น แผ่นดิสก์หมุนอยู่รอบๆ Protosta แห่งนี้ โดยมันมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า เนบิวลาสุริยะ

 

และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมีความเชื่อกันว่าอนุภาคของฝุ่นเหล่านี้รวมเข้ากับอนุภาคที่เป็นน้ำแข็งนั้น มันกำลังย้ายหรือขยับ นั่นจงส่งผลให้มันมีการชนกัน บางคตรั้งก็สามารถที่จะรวมเข้าด้วยกันเป็นก้อนที่มีขนาดใหญ่ และเราจะก็เห็นการรวมตัวนี้ที่เรียกว่าการสะสมของแกนกลาง

 

ด้วยวิธีนี้นี่เองดาวเคราะห์และดวงจันทร์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหางจึงถูกสร้างขึ้น ลมสุริยะจะกวาดเอาทาสไฮโดรเจน และ ฮีเลี่ยมที่มีน้ำหนักเบาออกไปไกลจากดวงอาทิตย์จะเพียงวัสดุโลหะและหินที่มีน้ำหนักมาก เพื่อสร้างดาวเคราะห์ชั้นในหรือดาวเคราะห์ปก เช่นโลก ดาวพุทธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร

 

สนับสนุนโดย   Huaylike

แอตแลนติส นครที่หายสาบสูญ

admin No Comments

กล่าวคือแอตแลนติส เป็นอาณาจักรที่ถือว่าเก่าแก่มากและชื่อว่ามักจะลึกลับมากเช่นกัน โดยเราคนหนึ่งที่เชื่อวามันมีอยู่จริง เพราะเรื่องเล่าที่ได้ยินมาเชื่อวาเป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่หลายพันปี คนที่นั่นถือว่าเป็นคนที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะด้วยนิสัยหรือจิตใจ ว่ากันว่าเมืองนั้นเป็นเมืองที่วิวัฒนาการกว้างไกล มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่าเรามาก

 และนอกจากนั้นยังถือว่าเป็นเมืองที่รวยด้วย ไม่เพียงแต่เงิน ทอง แต่ว่าอุดมสมบูรณ์เต็มพร้อมไปด้วยทุกสิ่ง จึงทำให้เหล่าบรรดาสัตว์หลากหลายนานัปการได้แห่กันมาอาศัยอยู่ ซึ่งว่ากันว่าหากได้เห็นถือว่าเป็นบุญตาเอามากๆ

  • มีสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่าบ่อน้ำพุเทวดา ที่สามารถเปลี่ยนจากจากน้ำร้อน กลายเป็นน้ำเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมอาหารที่หาง่ายเรียกว่ากินชาตินี้ก็ไม่มีวันหมด
  • แต่เราก็ไม่รู้ทำไมเรื่องเล่ามีการเล่าต่อมาว่าเมืองทั้งเมืองแห่งนี้ได้ทำการจมลงสู่ก้นทะเลที่ลึกที่สุด จึงทำให้เป็นเรื่องเล่าที่มีการพูดถึงกันต่างๆนานา
  •  ว่ากันว่ามองย้อนกลับไปราวๆสองพันกว่าปีน่าจะได้ ที่มีเรื่องราวพูดถึงนี้ว่ามีท่านคนหนึ่งชื่อว่า เพลโต(Plato)
  • โดยชายผู้นี้เรียกว่าน่าจะเป้นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น โดยมีการพูดถึงว่าท่านได้ทำการเขียนเรื่องราวเอาไว้สองแบบด้วยกัน
  • นั่นก็คือ Timaeus และ Critias โดยมีการพูดถึงระหว่างชายที่มีการพูด และก็ได้มีการเล่าต่อๆกันมา ว่าในสมัยนั้นมีการรุ่งเรืองมาก แถมช่วยนั้นเป็นช่วงของมหาอำนาจอีกด้วย

 

การพูดถึงเมืองนี้แทบจะพูดเป้นเสียงเดียวกันว่า เป็นเกาะมหัศจรรย์ ที่มาขนาดใหญ่ กว้างสุดลูกหูลูกตา มีอารยธรรมที่ไม่เหมือนในยุคของเรา แต่ไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอะไรที่มันดีมากขนาดนี้กลับทำเอาเกาะทั้งเกาะถล่มลงสู่ใต้ทะเลลึกได้อย่างน่าตกใจ และนั่นก็ไม่มีใครที่จะได้เห็นเกาะแห่งนี้อีกเลย  ว่ากันว่ามีคลื่นใหญ่ซัดจนเกาะพังทลาย หรือบางคนก้ว่าเกาะนี้จมสู่ทะเลลึก

 แต่ก็ได้มีการค้นวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์หลายคน โดยเค้าได้ทำการวิจัยแล้วพบว่า เป้นเพียงแค่จิตนาการของคนบางคน หรือของคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่หลายท่านก็มองว่าแอตแลนติสก็น่าจะมีอยู่จริง แต่ก็ยังมีบางกลุ่มหรือบางคนที่มองว่ามันแค่เรื่องเล่าที่ไม่มีอยู่จริงเท่านั้น

 สำหรับตำนานนี้เป้นความเชื่อของบางกลุ่มหรือบางคนเท่านั้น  ซึ่งอันที่จริงก็ยังเป็นการถกเถียงกันอยู่ เพราะยังไม่มีคนใดที่ค้นพบซากเมืองแบบเต็มเมืองหรือซากที่บ่งบอกว่ามันเป็นเมืองที่มีการจมลงไปอย่างจริง อย่างไรก็ตามเราก็คงยังหาคำตอบกันอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่มีหลักฐานให้เห็นก็ตาม

 

สนับสนุนโดย      หวยดี  

Starseed จิตวิญญาณต่างดาว

admin No Comments

Starseed คือจิตวิญญาณที่มาจากดวงดาว มาจากจักวารอันกว้างใหญ่ เชื่อว่า starseed  ได้เกิดมาในร่างมนุษย์เพื่อมาทำภาระกิจบางอย่างบนโลก อาจจะเป็นภารกิจทางจิตวิญญาณ การยกระดับจิตไห้อยู่ในมิติที่สูงกว่า เหล่าstarseedเชื่อว่า พวกเขาไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์ที่กลับชาติมาเกิด

แต่จิตวิญญาณพวกเขาได้มาจากดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในมิติที่สูงกว่า พวกเค้ามักจะรู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก เพราะมีความคิดและพฤติกรรมและความคิดที่ไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

เนื่องจากว่าพวกเค้ามีความแตกต่างจากเราเป็นอย่างมาก และจะถูกส่งมายังโลกของเรา เพื่อเป็นการช่วยเรื่องของจิตใจ และช่วยพัฒนาระดับจิตใจไห้สูงขึ้นกว่าที่เคย

เนื่องจากพวกเค้ามาจากดวงดาวอีกดวง เนื่องจากพวกเค้ามีพลังงานที่สูงและแตกต่างกับมนุษย์โลกทั่วๆไป พลังงานบางอย่างของพวกเค้าสามารถดึงดูดคุณ พวกเค้าจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่นอกโลกได้อีกด้วย

ข้อมูลเหล่านี้มักจะบอกกล่าวระหว่างทางเพื่อเป็นการทำไห้โลกมีการพัฒนาเทคโนโลยี แต่อย่าไรก็ตามพวกเค้าก็ตระหนักว่าโลกไม่ใช่บ้านของพวกเค้า จึงทำไห้ความรู้สึกมีหลากหลายอารมณ์ ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะอยู่กับมนุษย์ แต่เค้าก็มีจิตเป็นของพวกเค้าเอง

บ่อยครั้งที่พวกเค้าจะฝันเดิม ๆเกี่ยวกับดวงดาวหรือจักวาลหรือที่ ๆรู้สึกว่าเคยไปมาแล้วซ้ำๆ พวกเค้ามักจะมีรางสังหรณ์ที่ชัดเจนหรือแม่นยำ พวกเค้าสามารถสัมผัสพลังงานได้ง่าย ๆ

พวกเค้าสัมผัสรู้สึกและใส่ใจกับสิ่งรอบตัว

พวกเค้ามีลักษณะรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ โดยมีตาที่กลมโต มีออร่าเหมือนกับเทพเจ้าและรักสันโดด การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณที่สูงกว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเค้า เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยสติปัญญาและความรู้ การแสดงตัวของพวกเค้าแตกต่างกับคนอื่นและดูลึกลับ

Blue Ray starseed คือหนึ่งเผ่าพันธุ์โดยมาในรูปแบบจิตวิญญาณอยู่รูปแบบแห่งแสง มีการพัฒนาที่สูงกว่าโลกมนุษย์ และมีการหยั่งรู้ในจิตใจของคน พวกเค้ามีศิลปะในการสื่อสารและจะทำตามความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจหรือใช้สัญชาติญาณนั่นเอง พวกเค้าสามารถที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและยังรู้อีกด้วยว่าจะเก็บงำหรือซุกซ่อนพรสวรรค์ โดยจะหยิบนำมาใช้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่สมควร

พวกเค้ารู้สึกว่าดวงดาวที่มีวิวัฒนาการสูงกว่า เป็นที่อยู่อาศัยที่แท้จริง ในด้านพลังของพวกเค้าดูเหมือนจะออกไปในรูปแบบของชาวลิมูเรียมากกว่าชาวแอสแลนติส พวกเค้าจะไม่รู้เลยว่าอะไรคือความโกรธและจะคอยเป็นผู้สร้างความสงบสุขไห้กับแวดวงและกลุ่มคนของพวกเค้า

 

สนับสนุนโดย   หวยดี

มีอะไรอยู่ในแกนโลก 

admin No Comments

       สำหรับใครที่ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของวิทยาศาสตร์หรืออาจจะเป็นเด็กนักเรียนที่มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ระดับต้นจะรู้ด้วยว่าผู้คนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้นั้นอยู่บริเวณเปลือกนอกพื้นผิวของลูกเท่านั้นแต่ลึกลงไปใต้พื้นดิน

ซึ่งถือได้ว่าเป็นแกนกลางของโลกนั้นเราไม่สามารถที่จะเข้าไปอยู่อาศัยได้ซึ่งในการกลางของโลกนั้นมีสิ่งเร้นลับต่างๆมากมาย

ที่เรายังคงต้องศึกษาหาความรู้เพราะอันที่จริงถ้าหากเราขุดดินลงไปก็จะเห็นได้ว่าลึกลงไปนั้นจะมีทั้งแร่ธาตุต่างๆรวมถึงมีน้ำและยังมีบางพื้นที่ซึ่งเป็นลาวาอยู่ใต้พื้นดินอีกด้วยแต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่แกนกลางของโลกที่เดียวทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างก็สงสัยว่าแท้ที่จริงแล้วแกนกลางของโลกนั้นอยู่ตรงจุดไหนและตรงบริเวณกลางของโลกนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ 

          สำหรับปริศนาอาการของโลกนั้นยังคงเป็นปริศนา นักวิทยาศาสตร์ยังคงให้ความสนใจและยังคง สงสัยอยู่ซึ่งความสงสัยนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงทศวรรษที่ 1940

เมื่อโลกของเราเริ่มมีนักวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นและนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็เริ่มเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแร่ธาตุต่างๆนั้นควรจะมีอยู่บนพื้นโลก แต่พวกเขากลับพบว่าไม่ว่าจะเป็นแร่นิกเกิลหรือว่าแร่เหล็กมีการพบน้อยมากเกินไปบนผิวโลก

ซึ่งเขาเชื่อว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นนิกเกิลหรือแร่เหล็กนั้นน่าจะมีมากกว่านี้ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าทั้งแร่เหล็กและนิกเกิลนั้นน่าจะอยู่ที่แกนโลก และด้วยข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์นี้เองที่ทำให้ ในปีคศ 1950 จึงได้มีการประเมินการวัดค่าแรงโน้มถ่วง ของโลกแล้วก็พบว่าที่แกนโลกนั้นน่าจะเต็มไปด้วยแร่เหล็กและนิกเกิลจริง 

          อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะเชื่อว่าที่แกนโลกนั้นมีแร่เหล็กและนิกเกิลแต่ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการคำนวณ

เนื่องจากว่าแต่โลกนั้นยังคงเบาเกินไป ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เองก็ได้มีการคำนวณว่าแร่เหล็กน่าจะมีอยู่ที่ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่นิเกิลนั้นน่าจะมีอยู่ที่ 10% และยังมีและอื่นๆที่เราอาจจะไม่รู้จักอีกประมาณ 5% ซึ่งอยู่ที่บริเวณแกนของโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เองก็พยายามที่จะหาคำตอบให้ได้เมื่อปีพ. ศ. 2017

ศาสตราจารย์เอจิ โอตานิ ได้มีการออกมาเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับแร่ที่อยู่แกนของโลกว่าอีก 5 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั้นน่าจะเป็นแร่ซิลิคอน  อย่างไรก็ตามสำหรับแนวความคิดของศาสตราจารย์  เอจิ โอตานิ  นั้นยังคงเป็นแค่เพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้นซึ่งยังอยู่ระหว่างการค้นหาข้อเท็จจริงและยังไม่สามารถยืนยันได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์

 

สนับสนุนโดย    ufabet เว็บตรง

คุณรู้หรือไม่ น้ำจืดไม่ได้มีแต่บนพื้นดินเท่านั้น

admin No Comments

           ในการอาศัยอยู่ร่วมกันบนดาวดวงเล็กๆที่ชื่อว่าโลกใบนี้  น้ำที่กินได้ หรือที่เราเรียกว่าน้ำจืดนั้น คือสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในโลก  มีหลาย ประเทศที่ต้องเจอกับภาวะขาดแคลนน้ำดื่ม และในตอนนี้หลายประเทศกำลังค้นหาแหล่งทรัพยากร หรือแหล่งน้ำจืดใหม่ๆ 

        อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งมีผู้ค้นพบทางแก้ปัญหาซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้มหาสมุทร  มีผู้ค้นพบแหล่งกักเก็บน้ําจืดใต้ทะเล  ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970

นักวิทยาศาสตร์สำรวจพื้นทะเลและสแกนหาสิ่งที่อยู่ข้างใต้แล้วบังเอิญสะดุดเข้ากับแหล่งที่บรรจุน้ำที่มีความเค็มน้อย มันไม่ถึงกับอยู่ในระดับที่ดื่ม ได้แต่ระดับของเกลือในนั้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำทะเลเหนือแอ่ง

          น้ำจืดไม่ได้มีแต่บนพื้นดิน ถึงอย่างนั้นนักวิจัยก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากรู้สึกสงสัยพวกเขาไม่รู้ว่าแอ่งนั้นลึกหรือยาวแค่ไหน แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีกเลยนานกว่า 40 ปี ความสนใจในประเด็นนี้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง ปี 2015 เมื่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยนักธรณีวิทยาทางทะเล  โคลอี้ กุสตาฟซอน ตัดสินใจทำการวัดหนึ่งในแอ่งนั้นที่อยู่นอกชายฝั่งสหรัฐอเมริกา เขาใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อหาดูว่ามีน้ำจืดซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทรมากแค่ไหนกันแน่

       น้ำทะเลใช้นำไฟฟ้าได้ดีกว่าน้ำจืด ดังนั้นกระบวนการนี้ก็ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง   สิ่งที่  ufabet   พวกเขาค้นพบก็น่าประหลาดใจที่เดียว ปรากฏว่าแห่งซึ่งเคยคิดว่าแค่เล็กๆและแยกออกมา กลับ ยืดยาวไปไกลหลายไมล์ใต้พื้นมหาสมุทรและยังลึกลงไปทางชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอีกด้วย

         นักวิทยาศาสตร์อ้างว่าแหล่งกักเก็บน้ําจืดนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 217 ไมล์ แผ่ขยายตั้งแต่รัฐเดราวาทางใต้ไปจนถึง รัฐเมซาซุเซสทางเหนือ  นอกจากนี้ ด๊อกเตอร์ โคลอี้ กุสตาฟซอน  ยังบอกอีกว่าผลที่ได้นั้นยังไม่แล้วเสร็จเครื่องตรวจวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ได้เที่ยงตรงและยังไม่สามารถบอกความลึกของแบ่งชั้นใต้ดินนี้ได้

             ดังนั้นนี่จึงน่าอัศจรรย์ใจแหล่งกักเก็บน้ำอาจใหญ่และลึกยิ่งกว่าผลการสำรวจได้บอกไว้ แต่แม้กระทั่งตอนนี้แหล่งเก็บน้ำใต้ทะเลนี้มันจะใหญ่กว่าแอ่งเก็บน้ำ น้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดบนฝั่ง  โคลอี้ กุสตาฟซอน และผู้ร่วมงานของเธอแน่ใจมาก ว่าแหล่งน้ำของชายฝั่งแอตแลนติกไม่ใช่แค่ที่เดียวในโลก   สถานที่อื่นอาจจะมีแหล่งเก็บน้ำจืดแบบนี้อีก ถึงแม้จะยังหาไม่พบ  

          สาเหตุที่มีแหล่งน้ำจืดใต้ทะเลนั้นอาจมาจากเมื่อหลายแสนปีที่แล้ว  ดาวของเราปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ซึ่งก็คือยุคน้ำแข็ง เมื่อเวลาผ่านไปแล้วอุณหภูมิก็สูงขึ้นจนถึงระดับที่น้ำแข็งละลาย เมื่อเป็นแบบนั้นน้ำจืดหรือสารประกอบที่ใกล้เคียงที่สุดเริ่มไหลไปทั่วบริเวณเติมเต็มทุกรอยแยกรอยแตกที่ร่องมหาสมุทร น้ำจำนวนมากไหลลงไปในร่องมหาสมุทรดังกล่าวและถูกกักอยู่ใต้เปลือกโลก ดังนั้นหากน้ำบนพื้นผิวบนโลกเหลือน้อย เราก็สามารถหาน้ำจืดจากใต้มหาสมุทรมาใช้ทดแทนได้

สิ่งที่เกิดขึ้นและความรู้ที่ได้รับเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้เดินทางไปสำรวจดวงจันทร์ 

admin No Comments

             เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้เดินทางขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์นั้นเขาได้มีการสำรวจและสร้างเรื่องราวๆต่างๆมากมาย

ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ว่าเขาได้ทำอะไรไว้บ้างและเขาสำรวจเจอเกี่ยวกับอะไรบ้างบนดวงจันทร์ 

           ภายหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์เดินทางกลับมาจากการสำรวจบนดวงจันทร์แล้วสิ่งที่พวกเขาทำนั่นก็คือ พวกเขาได้เอาหินและฝุ่นพระจันทร์กลับมาด้วย นอกจากนี้การไปสำรวจในครั้งนั้นทำให้เขาพบว่าบนดวงจันทร์มีเขตเวลาของตัวเองเรียกว่าเวลามาตรฐานของดวงจันทร์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเวลาของโลกเลย 

โดย 1 ปี บนดวงจันทร์นั้นเท่ากับ 12 วันซึ่งตั้งชื่อตามนักบินอวกาศที่เคยเดินบนพื้นผิวดวงจันทร์ โดย 1 วันนั้นมี 30 รอบ ซึ่งในทางกลับกันนั้นก็ประกอบด้วยชั่วโมง นาที วินาที โดยที่ปฏิทินดวงจันทร์นั้นเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่นิวอามสตรองเหยียบลงบนผิวดวงจันทร์ 

           นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าบนผิวดวงจันทร์ไม่มีน้ำและบนพื้นดินแห้งผากและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีอะไรที่สามารถเติบโตบนผิวดวงจันทร์ได้เลยแต่ตัวอย่างของดินดวงจันทร์ที่ได้นำกลับมานั้นแสดงให้เห็นว่ามันค่อนข้างเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกได้เหมือนกัน 

           นอกจากนี้ยังมีการสำรวจพบว่าบนดวงจันทร์นั้นมีจุดดำ    ทางเข้า gclub ใหม่   เรียกว่ามาเล หรือทะเลบนดวงจันทร์ มันประกอบด้วยทะเล 17 แห่ง

มหาสมุทรของพายุ 1 แห่งและอ่าว อีก 4 แห่งแต่พวกมันทั้งหมดว่างเปล่าและแห้งผากนักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่าเคยมีน้ำมาก่อนแต่ทฤษฎีนั้นก็โดนล้มหลังไป ทะเลบนดวงจันทร์เป็นพื้นที่ราบลุ่มที่เคยเต็มไปด้วยลาวาหินบะซอลต์ซึ่งเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งเมื่อนานมาแล้วนิวอามสตรองและเพื่อนของเขาได้จอดยาน Eagle ของพวกเขาบนทะเลที่แห้งผากเหล่านั้น 

           ดวงจันทร์ไม่มีสนามแม่เหล็กของตัวเองแต่หินที่นักบินอวกาศนำกลับมาจากดวงจันทร์นั้นมีคุณสมบัติแม่เหล็กนักวิทยาศาสตร์คิดว่าดวงจันทร์เคยมีสนามแม่เหล็กมาก่อนแต่ได้สูญเสียไปจากผลของการชนกับดาวเคราะห์น้อย นอกจากนี้ บนดวงจันทร์ขยะอวกาศซึ่งมันเป็นของขยะ ของนักบินอวกาศที่ได้ลงไปบนดวงจันทร์ในปี 1969 ถึง 1972 

         ส่วนขยะที่เหลือก็มาจากยานไร้ลูกเรือบังคับของประเทศอื่นๆ ซึ่ง ขยะที่เก่าแก่ที่สุดของดวงจันทร์คือชิ้นส่วนของยานสำรวจที่ได้ถูกส่งไปเพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้ในการลงจอดบนพื้นผิวของดวงจันทร์เพราะในปี 1960 นั้นมีการคาดการณ์พื้นผิวของดวงจันทร์ว่าเต็มไปด้วยทรายซึ่งจะทำให้นักบินอวกาศไม่สามารถนำยานลงจอดได้แต่ก็นั่นแหละทฤษฎีนี้ไม่ถูกต้อง 

        สุดท้ายนี้บนพื้นผิวดวงจันทร์ไม่มีหลักฐานหรือรอยเท้าใดๆของสัตว์ซึ่งจากตำนานที่กล่าวว่าพระอินทร์นำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกได้เห็นกระต่ายไม่มีหลักฐานใดแสดงถึงการคงอยู่ของสัตว์ต่างๆเช่นกระต่าย  วัว หรือสัตว์อื่นๆที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนดวงจันทร์เลย

แรงโน้มถ่วง เกี่ยวอะไรกับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา

admin No Comments

แรงโน้มถ่วงเป็นที่ทราบในทางฟิสิกส์ว่าเป็นสาเหตุหลักของการเคลื่อนที่ของวัตถุทุกอย่างในจักรวาล รวมถึงการเคลื่อนที่ของวัตถุทางดาวเคราะห์, การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์, และทรัพยากรอาศัยอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบนอกโลกของเรา

แรงโน้มถ่วงมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราในหลายทาง ๆ ดังนี้

 

1.ความน้ำหนักของวัตถุ: แรงโน้มถ่วงทำให้วัตถุมีน้ำหนัก โดยน้ำหนักของวัตถุจะขึ้นอยู่กับมวลของมัน นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องยกสิ่งของในชีวิตประจำวัน เช่น ตัวเอง, กระเป๋า, หรือสิ่งของทั่วไป เนื่องจากมีแรงโน้มถ่วงทำให้มีน้ำหนักที่เกิดขึ้น

 

2.การเดินทาง: แรงโน้มถ่วงมีผลต่อการเดินทางทั่วไป เรามักใช้คำนิยามว่าน้ำหล่อเป็นทางธรรมชาติตามทิศทางที่มีแรงโน้มถ่วงที่เข้มงวดมากที่สุด ดังนั้น การเดินทางด้วยพาหะทางอากาศ หรือทางน้ำนั้นมักจะมีการคำนวณแรงโน้มถ่วงในการวางแผนเส้นทาง

 

3.การทำงานของนาซา: แรงโน้มถ่วงมีผลทำให้นาซา (Mass) รู้สึกน้ำหนัก ดังนั้น เมื่อเราทำงานโดยยกหรือพลัดนาซา (ที่มีมวล) เช่น การยกของหนัก การทำงานนี้เกี่ยวข้องกับแรงโน้มถ่วง

 

4.การคำนวณน้ำหล่อ: ในอุตสาหกรรมหรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ การคำนวณแรงโน้มถ่วงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมีผลต่อการวางแผนวัสดุ โครงสร้าง และการทำงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักและแรงโน้มถ่วง

 

5.วิทยาศาสตร์และวิจัย: ในสาขาวิทยาศาสตร์และวิจัย แรงโน้มถ่วงมีบทบาทสำคัญในการศึกษาพฤติกรรมของวัตถุทั้งในลักษณะของการตกลงมวล การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ และศึกษาปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์

ถ้าเราไม่มีแรงโน้มถ่วง เราจะเป็นอย่างไร

ถ้าไม่มีแรงโน้มถ่วง สภาพการเคลื่อนที่และการดำเนินชีวิตของเราและของโลกจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือผลกระทบบางประการที่อาจจะเกิดขึ้น

 

1.ไม่มีการรวมกันของวัตถุ: แรงโน้มถ่วงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนักและมีความนิ่งตำแหน่งในทิศทางที่เราเรียกว่า “ดิน” หรือ “พื้นผิวของโลก” ถ้าไม่มีแรงโน้มถ่วง วัตถุจะไม่มีทิศทางที่แน่นอนเพื่อมุ่งหน้า และไม่มีการรวมกันกับพื้นผิวโลก

 

2.ไม่มีการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์: แรงโน้มถ่วงมีผลทำให้ดาวเคราะห์เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์นั้นเองก็เคลื่อนที่รอบตัวเอง เป็นการรักษาสมดุลแรงที่ทำให้มีการเคลื่อนที่นี้ เป็นพื้นฐานในระบบสุริยะ

 

3.ไม่มีการเลื่อนที่ของน้ำ: แรงโน้มถ่วงมีผลทำให้น้ำไหลลงถนนน้ำ หากไม่มีแรงโน้มถ่วง น้ำจะไม่มีทิศทางที่แน่นอนที่จะไหลลง ทำให้การวิวัฒนาการของชีวิตและระบบนิเวศทางน้ำเปลี่ยนไป

 

4.ไม่มีการรักษาสมดุลของโลก: แรงโน้มถ่วงมีบทบาทในการรักษาสมดุลของโลก ทำให้โลกหมุนรอบแกนที่คงที่ ถ้าไม่มีแรงโน้มถ่วง โลกอาจหมุนหรือเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด

 

สรุปได้ว่า แรงโน้มถ่วงมีบทบาทที่สำคัญมากในการรักษาสมดุลและการเคลื่อนที่ของวัตถุในจักรวาลเรา ถ้าไม่มีแรงโน้มถ่วง สภาพโลกและการเคลื่อนที่ของวัตถุทุกประการจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ufabet

บทบาทสำคัญของสมาคมพิษวิทยาในความร่วมมือระดับโลก

admin No Comments

ศาสตร์แห่งพิษวิทยาในแง่มุมต่างๆ ล้วนมีความจำเป็นในระดับสากล การผลิตและการปล่อยสารเคมีที่อาจเป็นพิษเพิ่มขึ้นในหลายส่วนของโลก

แม้ว่าสิ่งนี้อาจทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น แต่การปนเปื้อนของสารเคมีไม่เคารพพรมแดนระหว่างประเทศและการเมือง และชุมชนพิษวิทยาทั่วโลกก็แบ่งปันความกังวลด้านสุขภาพที่ตามมา World Library of Toxicology ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Toxipedia.org, หอสมุดแพทยศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา, สหภาพพิษวิทยาระหว่างประเทศ

และสถาบันพิษวิทยาและความผิดปกติของระบบประสาท ก่อตั้งขึ้นเนื่องจากความกังวลระดับโลกดังกล่าว เจตนาคือเพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศต่างๆ พิษวิทยาไม่สามารถทำหน้าที่เป็นระเบียบวินัยที่แยกส่วนได้อีกต่อไป เนื่องจากความพยายามของแต่ละคนถูกแยกออกจากพรมแดนระหว่างประเทศเป็นส่วนใหญ่

แม้ว่าแนวคิดของความเป็นสากลของพิษวิทยาจะอยู่ในรูปแบบของความสัมพันธ์แบบร่วมมือระหว่างนักวิชาการและนักวิจัยแต่ละคนที่มีความสนใจที่ทับซ้อนกัน แต่ศักยภาพที่แท้จริงของความร่วมมือดังกล่าวสามารถรับรู้ได้ดีที่สุดเมื่อสถาบันขนาดใหญ่ เช่น รัฐบาลหรือสมาคมวิชาชีพร่วมมือกัน

ตัวอย่างคลาสสิกของความร่วมมือดังกล่าวคือเมื่อ American Academy of Clinical Toxicology (AACT) และ European Association of Poison Control Centers and Clinical Toxicologists (EAPCCT)

ร่วมกันจัดทำแถลงการณ์แสดงจุดยืนทางวิชาการซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแนวทาง การปนเปื้อนในทางเดินอาหารในผู้ป่วยที่ได้รับพิษ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ยังคงรู้สึกได้ในการปฏิบัติทางคลินิกในปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยของเรา ความร่วมมือระหว่างสังคม

ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของพิษวิทยาคลินิก ไม่ควรทำหน้าที่เป็นเพียงการแสดงจุดยืน แต่ที่สำคัญกว่านั้นในฐานะแบบจำลองสัญลักษณ์ของวิธีที่สมาคมวิชาชีพพิษวิทยาสามารถโต้ตอบได้

รูปแบบของความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศสามารถตรวจสอบได้โดยการวิเคราะห์ฐานข้อมูลไซเอนโทเมตริกสำหรับบทความที่เขียนร่วมในระดับสากล การตรวจสอบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ด้านพิษวิทยากำลังเติบโตทั่วโลก ตัวอย่างเช่น เมื่อค้นหาประเทศจากภูมิภาคต่างๆ ของโลกใน SCImago

สำหรับการผลิตทางวิทยาศาสตร์ด้านพิษวิทยา ประเทศชั้นนำจาก 10 ภูมิภาคของโลกมีดังนี้: อิหร่านจากตะวันออกกลาง สหราชอาณาจักรจากยุโรปตะวันตก โปแลนด์จากยุโรปตะวันออก , ตูนิเซียจากแอฟริกาเหนือ, ไนจีเรียจากแอฟริกากลาง, แอฟริกาใต้จากแอฟริกาใต้, สหรัฐอเมริกาจากอเมริกาเหนือ, บราซิลจากละตินอเมริกา, จีนจากภูมิภาคเอเชีย และออสเตรเลียจากภูมิภาคแปซิฟิก

หากนับจำนวนนักพิษวิทยาที่ลงทะเบียนจากสมาคมของประเทศเหล่านี้จากฐานข้อมูลของ IUTOX จะพบว่ามีสมาชิกประมาณ 4,000 คน จำนวนนักพิษวิทยาที่แท้จริงนั้นสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากหลายสังคมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ IUTOX ดังนั้นหากมีการสร้างเครือข่ายที่จำกัดระหว่างสมาชิกเหล่านั้นในภูมิภาคเหล่านี้ของโลก

ศักยภาพในการทำงานร่วมกันในประเด็นต่างๆ เช่น การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษ การคุ้มครองสตรีมีครรภ์ เด็ก และประชากรที่อาจเสี่ยงอื่นๆ จากอันตรายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อมและการคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานที่ดีขึ้น ทุกเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดต่อพิษวิทยาทางคลินิก จะดีมาก สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ไม่ได้รับการดูแลทางการแพทย์เช่นหลายประเทศในแอฟริกา

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ทางเข้า gclub ใหม่