ระบบสุริยะจะเดินทางรอบศูนย์กลางของกาแล็กซี

ระบบสุริยะจะเดินทางรอบศูนย์กลางของกาแล็กซี

admin No Comments

การเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งของจักรวาลในอนาคต

ระบบสุริยะจะเดินทางรอบศูนย์กลางของกาแล็กซีครบหนึ่งรอบ

 

จักรวาลและกาแล็กซีของเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลและเต็มไปด้วยความลี้ลับ หนึ่งในความมหัศจรรย์ของจักรวาลก็คือการเดินทางรอบศูนย์กลางของกาแล็กซีของระบบสุริยะ การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลานับล้านๆ ปี ซึ่งเป็นเวลาที่เราแทบจะไม่สามารถจินตนาการได้ และเต็มไปด้วยผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อระบบสุริยะและต่อชีวิตบนโลก

 

  • การเคลื่อนที่ของระบบสุริยะ

ระบบสุริยะของเรานั้นไม่เคยหยุดนิ่ง แต่กลับเคลื่อนที่ตลอดเวลาในกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) โดยระบบสุริยะหมุนรอบศูนย์กลางของกาแล็กซี ซึ่งเป็นจุดที่มีมวลมหาศาลเชื่อว่าเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า “หลุมดำ Sagittarius A*” (Sagittarius A*) การหมุนรอบนี้ถูกเรียกว่า “การหมุนรอบกาแล็กซี” หรือ “Galactic Year” ซึ่งใช้เวลาประมาณ 225-250 ล้านปีจึงจะครบหนึ่งรอบ

 

  •  ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

การหมุนรอบกาแล็กซีนี้มีผลต่อทั้งความเป็นไปได้ทางดาราศาสตร์และความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก การเดินทางของระบบสุริยะนั้นไม่ได้เป็นการหมุนในวงกลมที่สมบูรณ์ แต่เป็นการเดินทางที่ผ่านโซนต่างๆ ของกาแล็กซี ซึ่งแต่ละโซนนั้นมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของปริมาณของรังสี ปริมาณของดาวฤกษ์ และความหนาแน่นของก๊าซระหว่างดวงดาว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่ากังวลคือการเดินทางผ่านแขนกังหันของกาแล็กซี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีดาวฤกษ์เกิดใหม่จำนวนมากและมีการระเบิดของดาวฤกษ์ (supernova) ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของรังสีคอสมิก และอาจส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศของโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมบนโลก

 

  • อนาคตที่ยาวนาน

การที่ระบบสุริยะหมุนรอบศูนย์กลางของกาแล็กซีนั้นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ โดยที่มนุษย์เราแทบจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่หากพิจารณาในช่วงเวลาที่ยาวนาน การเดินทางนี้อาจมีผลต่อวิวัฒนาการของดาวเคราะห์และสิ่งมีชีวิตบนโลกในระยะยาว

ขณะเดียวกัน การเดินทางของระบบสุริยะยังมีบทบาทสำคัญในการปรับสภาพแวดล้อมทางดาราศาสตร์ของกาแล็กซี ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบของดาวเคราะห์น้อย หรือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของดวงดาวที่อยู่ในระบบสุริยะ

การเดินทางรอบศูนย์กลางของกาแล็กซีของระบบสุริยะเป็นเหตุการณ์ที่ต้องใช้เวลายาวนานหลายร้อยล้านปี ซึ่งในการเดินทางนี้ ระบบสุริยะจะผ่านสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันไปในกาแล็กซี

โดยอาจมีผลกระทบต่อระบบสุริยะและโลกในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การหมุนรอบนี้ก็ยังคงเป็นหนึ่งในกระบวนการที่น่าทึ่งและเป็นเครื่องยืนยันถึงความยิ่งใหญ่และความลี้ลับของจักรวาล

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินทางนี้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่นักดาราศาสตร์ยังคงศึกษาและสำรวจเพื่อให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของจักรวาล

 

สนับสนุนบทความนี้โดย    หวยดีพลัส

การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์และผลกระทบต่อจักรวาล

admin No Comments

ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์หลักในระบบสุริยะของเรา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาพแวดล้อมของโลกและดาวเคราะห์อื่นๆ

โดยทั่วไป ดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ในระยะเวลาที่ยาวนาน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญประการหนึ่งคือการที่ดวงอาทิตย์จะสว่างและร้อนขึ้นประมาณ 1% ทุกๆ 100 ล้านปี

 

ดวงอาทิตย์กำลังอยู่ในช่วงกลางของชีวิตของมัน ซึ่งเรียกว่า “ช่วงลำดับหลัก” (Main Sequence Phase)

ในช่วงนี้ ดวงอาทิตย์จะทำการแปลงไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมผ่านปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ที่แกนกลาง

ซึ่งกระบวนการนี้ผลิตพลังงานจำนวนมหาศาลที่ทำให้ดวงอาทิตย์สว่างและร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเวลาผ่านไป ปริมาณไฮโดรเจนในแกนกลางของดวงอาทิตย์จะลดลง และฮีเลียมจะเพิ่มขึ้น ทำให้ดวงอาทิตย์ต้องเผาผลาญพลังงานมากขึ้นในการรักษาสมดุลของแรงดันและแรงโน้มถ่วงในแกนกลาง ส่งผลให้การแผ่รังสีพลังงานเพิ่มขึ้น

 

การที่ดวงอาทิตย์สว่างและร้อนขึ้น 1% ทุกๆ 100 ล้านปี อาจดูเหมือนไม่มากนักเมื่อพิจารณาในระยะเวลาที่สั้น แต่ในระยะยาวจะส่งผลกระทบที่สำคัญต่อสภาพแวดล้อมของโลกและจักรวาล ระบบสุริยะเป็นระบบที่ละเอียดอ่อน

ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในพลังงานจากดวงอาทิตย์สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์

เมื่อดวงอาทิตย์สว่างและร้อนขึ้น อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น และกระบวนการเช่นการระเหยของน้ำในมหาสมุทรจะเพิ่มขึ้น ทำให้ชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยไอน้ำมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกเพิ่มเติม ความร้อนที่เพิ่มขึ้นนี้อาจทำให้ภูมิอากาศบนโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง

ทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับชีวิตที่เรารู้จักในปัจจุบันอาจหายไป

 

นอกจากผลกระทบต่อโลกแล้ว การสว่างและร้อนขึ้นของดวงอาทิตย์ยังมีผลกระทบต่อดาวเคราะห์อื่นๆ ในระบบสุริยะด้วย ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากขึ้น เช่น ดาวศุกร์และดาวพุธ จะได้รับความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จนอาจทำให้สภาพแวดล้อมบนดาวเคราะห์เหล่านี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดาวอังคารซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์อาจได้รับความร้อนพอสมควรที่จะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายและปล่อยน้ำออกมา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับชีวิตในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลานับพันล้านปี ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานพอที่ชีวิตบนโลกจะสามารถปรับตัวหรืออพยพไปยังที่อื่นในระบบสุริยะหรือแม้แต่ในกาแล็กซี่อื่นๆ ได้

การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์และผลกระทบต่อจักรวาลมีความสำคัญต่อความเข้าใจในวิวัฒนาการของดาวฤกษ์และจักรวาล ทั้งยังช่วยให้เราคาดการณ์และเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหล่านี้

 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    alpha88

วงแหวนดาวเสาร์จะหายไป

admin No Comments

ในอนาคตอันไกลโพ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่อาจเกิดขึ้นในจักรวาลที่มีความโดดเด่นและน่าทึ่งอย่างหนึ่ง

คือการหายไปของวงแหวนดาวเสาร์ ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีลักษณะเฉพาะด้วยวงแหวนที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมองเห็นได้จากโลก อย่างไรก็ตาม วงแหวนเหล่านี้อาจไม่คงอยู่ตลอดไป

 

วงแหวนดาวเสาร์ประกอบไปด้วยอนุภาคน้ำแข็งและฝุ่นขนาดเล็กจำนวนมากที่โคจรรอบดาวเสาร์ในระยะทางที่ใกล้ไกลต่างกันไป อนุภาคเหล่านี้มีขนาดตั้งแต่เล็กกว่าเม็ดทรายไปจนถึงใหญ่เท่าภูเขา

การก่อตัวของวงแหวนดาวเสาร์ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในวงการวิทยาศาสตร์ บางทฤษฎีเสนอว่าวงแหวนเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากดาวบริวาร

หรือวัตถุขนาดเล็กที่ถูกแรงดึงดูดของดาวเสาร์ทำให้แตกออก บางทฤษฎีเสนอว่าวงแหวนอาจเป็นส่วนหนึ่งของระบบดาวเสาร์ตั้งแต่เริ่มแรก

 

นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าวงแหวนดาวเสาร์จะหายไปในอนาคต เนื่องจากกระบวนการที่เรียกว่า “การตกของวงแหวน” (Ring Rain)

ซึ่งอนุภาคในวงแหวนถูกแรงดึงดูดของดาวเสาร์ดึงลงมาสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเสาร์ การตกของวงแหวนนี้ถูกเร่งโดยปฏิกิริยาระหว่างอนุภาควงแหวนกับสนามแม่เหล็กของดาวเสาร์และการชนกันของอนุภาควงแหวนกับอนุภาคในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ กระบวนการนี้ทำให้วงแหวนสูญเสียมวลไปอย่างต่อเนื่อง

 

จากการสังเกตการณ์ของยานสำรวจแคสสินี (Cassini) ขององค์การนาซา นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าวงแหวนดาวเสาร์กำลังสูญเสียมวลไปในอัตราที่สามารถทำให้วงแหวนทั้งหมดหายไปภายในระยะเวลาประมาณ 100 ถึง 300 ล้านปี ซึ่งในระยะเวลานี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาอันสั้นในมาตรฐานของจักรวาล

 

การหายไปของวงแหวนดาวเสาร์จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อทัศนคติและความรู้สึกที่มนุษย์มีต่อดาวเสาร์ เนื่องจากวงแหวนของดาวเสาร์เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจ

และความงดงามให้กับผู้ที่เฝ้าดูดวงดาวมาเป็นเวลานาน การสูญเสียวงแหวนอาจทำให้ดาวเสาร์กลายเป็นดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายกับดาวพฤหัสบดีมากขึ้น ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีวงแหวนที่โดดเด่นเช่นนี้

 

แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับผู้ที่รักการสำรวจและการสังเกตดวงดาว แต่กระบวนการนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในจักรวาล การหายไปของวงแหวนดาวเสาร์เป็นเครื่องเตือนใจถึงความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีที่สิ้นสุดในจักรวาลของเรา

นอกจากนี้  alpha888 เครดิตฟรี     ยังเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาและการสำรวจเพื่อให้เราสามารถเข้าใจและชื่นชมความงดงามของจักรวาลในช่วงเวลาที่มันยังคงอยู่

เมื่อถึงเวลาที่วงแหวนดาวเสาร์หายไป มนุษย์อาจมีโอกาสเห็นวิวัฒนาการของจักรวาลในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน

วัตถุทรงกลมสีทองสุดลึกลับ ใต้ท้องทะเลลึก  ที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ 

admin No Comments

วัตถุทรงกลมสีทองสุดลึกลับที่พบใต้ท้องทะเลลึกเป็นปริศนาที่ได้จุดประกายความสนใจของนักวิทยาศาสตร์และผู้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับทะเลอย่างมาก

วัตถุดังกล่าวถูกค้นพบโดยทีมนักสำรวจใต้ทะเลลึกในระหว่างการสำรวจพื้นที่ที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อนในมหาสมุทรแปซิฟิก วัตถุนี้มีลักษณะเป็นทรงกลม สีทองเรืองแสง และมีพื้นผิวที่เรียบเนียน

ความโดดเด่นของมันทำให้มันถูกมองว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์และเป็นไปได้ว่ามันอาจจะไม่ใช่วัตถุธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในทะเล

วัตถุทรงกลมนี้มีขนาดประมาณผลแอปเปิ้ล และถูกพบอยู่บนพื้นทะเลในระดับความลึกมากกว่า 3,000 เมตร

ซึ่งทำให้การสำรวจและนำมันขึ้นมาศึกษาเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก สิ่งที่น่าสนใจคือวัตถุนี้มีความแข็งแกร่งและมีโครงสร้างที่ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุที่เคยพบมาก่อนในท้องทะเลลึก นักวิทยาศาสตร์พยายามจะใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเช่นกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนและการตรวจสอบทางเคมีเพื่อหาคำตอบว่าวัตถุนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและมีต้นกำเนิดมาจากไหน

 

หนึ่งในทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์เสนอคือวัตถุนี้อาจจะเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วหรือเป็นโครงสร้างที่สร้างขึ้น

โดยสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกที่ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดมากนัก ในบางมุมมอง วัตถุทรงกลมสีทองนี้อาจจะเป็นรูปแบบของเปลือกหุ้มไข่หรือถุงที่ปกป้องตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกจากสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนในทะเลลึก อีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่าวัตถุนี้อาจจะเป็นผลึกทางเคมีที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในบริเวณนี้

การค้นพบวัตถุทรงกลมสีทองนี้ได้ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมในทะเลลึก

ซึ่งยังคงเป็นพื้นที่ที่มนุษย์รู้จักน้อยที่สุด แม้ว่าจะมีการสำรวจทะเลลึกมากขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่ยังคงเป็นปริศนา การค้นพบวัตถุที่ไม่เคยพบมาก่อนในทะเลลึกทำให้เราต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับความเข้าใจของเราเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อาจมีอยู่ใต้ท้องทะเล

 

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับวัตถุลึกลับนี้ และการศึกษาในอนาคตอาจจะช่วยให้เราเข้าใจถึงความหลากหลายและความซับซ้อนของชีวิตใต้ท้องทะเลลึกมากได้มากยิ่งขึ้น

ความท้าทายในการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับทะเลลึกยังคงมีอยู่ แต่การค้นพบอย่างวัตถุทรงกลมสีทองนี้ก็แสดงให้เห็นว่าทะเลลึกยังคงมีความลับและเรื่องราวที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยอยู่อีกมาก

 

สนับสนุนโดย    huaylike จ่ายจริง ไหม

ฉลามผี (Ghost Shark) สัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเลลึก 

admin No Comments

ฉลามผี (Ghost Shark) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ชิมีร่า” (Chimaera) เป็นสัตว์ทะเลลึกที่มีลักษณะคล้ายฉลาม แต่ไม่ใช่ฉลามจริงๆ มันเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ Chimaeridae ซึ่งมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับปลากระดูกอ่อนอื่นๆ อย่างฉลามและปลากระเบน ฉลามผีเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก มีลักษณะที่แตกต่างจากฉลามทั่วไปอย่างมาก ทั้งในเรื่องของโครงสร้างร่างกายและวิถีชีวิต

หนึ่งในลักษณะเด่นของฉลามผีคือ การมีผิวที่เรียบลื่นและไม่มีเกล็ดเหมือนฉลามทั่วไป

พวกมันมักมีสีเทาอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งช่วยให้พวกมันสามารถกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมที่มืดมิดใต้ท้องทะเลลึกได้ดี ดวงตาของฉลามผีมีลักษณะเรืองแสง

เนื่องจากการสะท้อนแสงจากเซลล์พิเศษในตา ซึ่งช่วยให้พวกมันสามารถมองเห็นในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อยหรือไม่มีแสงเลย

สิ่งที่ทำให้ฉลามผีดูเหมือนสัตว์ประหลาดก็คือ ลักษณะของจมูกที่ยาวและเรียว ซึ่งทำให้มันดูน่ากลัวและแตกต่างจากปลาทั่วไป

จมูกของฉลามผีมีบทบาทสำคัญในการช่วยค้นหาเหยื่อใต้ทะเลลึก โดยพวกมันสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของเหยื่อที่ซ่อนอยู่ใต้ทรายหรือซากปรักหักพังใต้น้ำได้อย่างแม่นยำ

ฉลามผีมีวิถีชีวิตที่ลึกลับและยังคงเป็นปริศนาอยู่มาก เนื่องจากพวกมันอาศัยอยู่ในทะเลลึกซึ่งเป็นบริเวณที่การสำรวจและการศึกษาเป็นเรื่องยาก

พวกมันมักจะพบในทะเลที่ลึกกว่า 200 เมตร ซึ่งทำให้การศึกษาชีวิตของฉลามผีเป็นเรื่องที่ท้าทายและยังคงต้องการการวิจัยเพิ่มเติม

ฉลามผีมีฟันที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากฉลามทั่วไป โดยฟันของพวกมันจะไม่เหมือนฟันที่ใช้กัดหรือฉีก

แต่จะเป็นฟันที่มีลักษณะเหมือนกระดูก ซึ่งใช้สำหรับบดและหักหอยหรือสัตว์มีเปลือกอื่นๆ ที่เป็นอาหารของพวกมัน นอกจากนี้ ฉลามผียังมีการสืบพันธุ์ที่แตกต่างจากฉลามทั่วไป โดยพวกมันจะวางไข่ ซึ่งเป็นไข่ที่มีลักษณะพิเศษเหมือนกระเป๋าแบนยาว

 

ฉลามผีเป็นสัตว์ที่ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดมากนัก เนื่องจากการใช้ชีวิตในทะเลลึกที่ห่างไกลจากการเข้าถึงของมนุษย์

 

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การใช้เทคโนโลยีในการสำรวจใต้ทะเลลึกเช่นโดรนและยานสำรวจไร้คนขับ ทำให้เราเริ่มเข้าใจชีวิตและพฤติกรรมของพวกมันมากขึ้น

ในที่สุด แม้ว่า “ฉลามผี” จะฟังดูน่ากลัวและเป็นสัตว์ประหลาดในจินตนาการของใครหลายๆ คน แต่ความจริงแล้วพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งและมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศน์ใต้ทะเลลึก ความหลากหลายและความเฉพาะเจาะจงของพวกมันทำให้ฉลามผีเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีในการศึกษาชีวิตใต้ท้องทะเลที่ยังคงมีความลึกลับอยู่มาก

 

ขอบคุณผู้สนับสนุนโดย    หวยดี.com

จิงเจอร์ (Ginger): ก้าวแรกของการสร้างพีระมิดในอารยธรรมอียิปต์โบราณ

admin No Comments

 

จิงเจอร์ (Ginger) เป็นชื่อที่ใช้เรียกมัมมี่ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดที่เคยถูกค้นพบในอียิปต์ มัมมี่นี้ถูกค้นพบในช่วงปี 1896

บริเวณหลุมศพในทะเลทรายอียิปต์ใกล้กับเมือง Gebelein และมีอายุประมาณ 5,500 ปี ซึ่งเป็นช่วงก่อนการก่อสร้างพีระมิดในอียิปต์ถึงพันปี มัมมี่จิงเจอร์ได้รับการเรียกชื่อนี้เพราะสีผมของเขาที่มีลักษณะเหมือนกับขิง

 

จิงเจอร์ถือว่าเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติต่อร่างกายหลังความตายในอียิปต์โบราณ แม้ว่าจิงเจอร์จะไม่ใช่มัมมี่ที่ได้รับการบรรจุไว้ในพีระมิด แต่การค้นพบนี้ช่วยให้เราเห็นภาพการพัฒนาการของกระบวนการเก็บรักษาร่างกายและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายที่พัฒนามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ

 

จิงเจอร์แสดงให้เห็นถึงการใช้เทคนิคการเก็บรักษาร่างกายที่เริ่มต้นจากการฝังร่างในทราย ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษาร่างกายให้แห้งและไม่เน่าเปื่อย

เทคโนโลยีนี้แสดงถึงความเข้าใจในธรรมชาติและการนำธรรมชาติมาใช้ในการเก็บรักษาร่างกาย ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปสู่กระบวนการมัมมี่ฟิเคชั่นที่ซับซ้อนขึ้นในยุคต่อมา

การค้นพบจิงเจอร์ทำให้นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์สามารถเชื่อมโยงกับแนวคิดที่อียิปต์โบราณได้พัฒนาเทคนิคการเก็บรักษาร่างกาย และแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างพีระมิดที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต

พีระมิดแห่งแรกๆ ถูกสร้างขึ้นในช่วงสมัยราชวงศ์ที่สามของอียิปต์โบราณ ซึ่งมีการพัฒนาวิธีการสร้างที่ซับซ้อนขึ้นจากการใช้วัสดุก่อสร้างที่แข็งแรงและมีการวางแผนโครงสร้างทางวิศวกรรมอย่างละเอียด

 

จิงเจอร์จึงถือว่าเป็นหนึ่งในก้าวแรกของการพัฒนาการสร้างพีระมิด ซึ่งเป็นผลมาจากการสั่งสมความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและการเก็บรักษาร่างกายหลังความตาย ความรู้เหล่านี้ถูกพัฒนาต่อมาเป็นเทคนิคการสร้างพีระมิดที่ซับซ้อนและเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมอียิปต์โบราณ

 

ในท้ายที่สุด  Sexy Baccarat    ได้มีการกล่าวถึงว่าจิงเจอร์เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความคิดและเทคโนโลยีที่นำไปสู่การสร้างพีระมิด

การค้นพบมัมมี่นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้นพบทางโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจถึงความเชื่อและความคิดของคนอียิปต์โบราณเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้างพีระมิดที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนในยุคต่อมา

การค้นพบมัมมี่จิงเจอร์ยังคงเป็นหลักฐานที่สำคัญในการเชื่อมโยงความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวอียิปต์โบราณเข้ากับกระบวนการสร้างพีระมิด

ความเข้าใจในกระบวนการมัมมี่และการฝังศพนี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงปริศนาของพีระมิดที่ยังคงเป็นเรื่องที่น่าค้นหา นักโบราณคดียังคงสำรวจพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและศึกษารูปแบบการสร้างพีระมิด เพื่อเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในยุคโบราณนี้

ดาวเคราะห์น้อยกว่า 150,000 ดวง  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาล

admin No Comments

 

ดาวเคราะห์น้อย (Asteroids) เป็นวัตถุที่ประกอบด้วยหินและโลหะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ในอวกาศ

พวกมันมีขนาดและรูปทรงต่างๆ ตั้งแต่ก้อนเล็กๆ ไปจนถึงก้อนขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายกิโลเมตร ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถบันทึกดาวเคราะห์น้อยได้มากกว่า 150,000 ดวงในระบบสุริยะ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้มีโอกาสที่จะชนเข้ากับโลกได้ และทำให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่

 

การชนกันของดาวเคราะห์น้อยกับโลกเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แต่เมื่อมันเกิดขึ้น ผลกระทบที่ตามมาอาจทำลายล้างชีวิตและสิ่งแวดล้อมบนโลกได้อย่างมหาศาล ตัวอย่างที่รู้จักกันดีคือเหตุการณ์ที่เชื่อว่าเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน

ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปจากโลก ดาวเคราะห์น้อยขนาดประมาณ 10 กิโลเมตรชนเข้ากับคาบสมุทรยูกาตังในเม็กซิโก ส่งผลให้เกิดการระเบิดที่มีพลังเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์หลายพันลูก ปกคลุมชั้นบรรยากาศด้วยฝุ่นละอองและเถ้าถ่านทำให้เกิดภาวะหนาวเย็นทั่วโลกเป็นเวลานานหลายปี พืชพรรณที่พึ่งพาแสงอาทิตย์ก็ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ และเกิดห่วงโซ่แห่งการสูญพันธุ์ที่ลามไปทั่วทั้งระบบนิเวศ

 

นอกจากการชนครั้งใหญ่เช่นนี้แล้ว ยังมีดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กที่โคจรใกล้โลกอย่างต่อเนื่อง หลายดวงถูกบันทึกว่าโคจรผ่านโลกในระยะใกล้มาก ซึ่งถ้าหากเกิดการเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย

ดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้อาจพุ่งเข้าชนโลกได้ ในช่วงปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กที่มีขนาดไม่กี่ร้อยเมตรโคจรเข้ามาใกล้โลกมากกว่าที่เคยคาดคิดไว้ เหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องหันมามองปัญหาและความเสี่ยงจากอวกาศอย่างจริงจังมากขึ้น

 

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้พยายามพัฒนาวิธีการตรวจจับและป้องกันดาวเคราะห์น้อยที่อาจชนโลก หน่วยงานเช่น NASA และ ESA ได้พัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อศึกษาการเปลี่ยนทิศทางของดาวเคราะห์น้อย ซึ่งวิธีหนึ่งที่กำลังถูกพิจารณาคือการใช้แรงระเบิดนิวเคลียร์เพื่อเบี่ยงทิศทางของดาวเคราะห์น้อย แต่วิธีนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและการพัฒนาที่ยังต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยคือความไม่แน่นอนของมัน แม้เราจะสามารถตรวจจับและติดตามดาวเคราะห์น้อยได้ แต่การคาดการณ์และป้องกันการชนยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เนื่องจากดาวเคราะห์น้อยมีจำนวนมากและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จึงมีโอกาสที่เราจะไม่ทันรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

 

ดาวเคราะห์น้อยไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามที่ทำให้เราต้องตระหนักถึงความเปราะบางของโลกและมนุษยชาติ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราในการสำรวจและค้นคว้าด้านอวกาศมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจนำพาเราไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ole777 ทางเข้า

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าดวงอาทิตย์ระเบิด และถ้าหากเกิดขึ้นจริงมนุษย์จะรอดไหม

admin No Comments

หากดวงอาทิตย์ระเบิด ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นมหาศาลและจะส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งในระบบสุริยะของเรา รวมถึงชีวิตบนโลกด้วย ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับทุกสิ่งที่มีชีวิตบนโลก การระเบิดของดวงอาทิตย์จะปลดปล่อยพลังงานมหาศาลที่อาจทำลายระบบสุริยะในทันที

 

การระเบิดของดวงอาทิตย์:

ดวงอาทิตย์จะไม่ระเบิดในลักษณะเดียวกับการระเบิดของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่เช่น “ซูเปอร์โนวา” เนื่องจากดวงอาทิตย์ไม่มีมวลเพียงพอสำหรับการระเบิดเช่นนั้น แต่อีกหลายพันล้านปีข้างหน้า ดวงอาทิตย์จะค่อยๆ ขยายตัวกลายเป็นดาวยักษ์แดง (Red Giant)

และอาจกลืนกินดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ รวมถึงโลก ก่อนที่จะพังทลายกลายเป็นดาวแคระขาว (White Dwarf) แต่หากดวงอาทิตย์เกิดการระเบิดขึ้นจริงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น การปลดปล่อยพลังงานมหาศาลในทันที ทุกสิ่งในระบบสุริยะจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

 

ผลกระทบต่อโลก:

เมื่อดวงอาทิตย์ระเบิด แสงและความร้อนมหาศาลจากการระเบิดจะเดินทางมาถึงโลกภายในเวลาเพียง 8 นาที พลังงานมหาศาลนี้จะทำให้โลกถูกเผาไหม้ในทันที สภาพภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และมหาสมุทรจะระเหย น้ำทั้งหมดจะหายไป และทุกสิ่งมีชีวิตจะตายทันที สิ่งแวดล้อมบนโลกจะกลายเป็นที่อยู่อาศัยที่เป็นไปไม่ได้ อากาศจะร้อนเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตใด ๆ จะอยู่รอดได้

 

ผลกระทบต่อระบบสุริยะ:

การระเบิดของดวงอาทิตย์จะส่งผลให้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์หายไป ทำให้ดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยะสูญเสียการเชื่อมต่อกันและหลุดออกจากวงโคจรที่เคยมี ดาวเคราะห์อาจชนกันหรือพุ่งเข้าสู่ห้วงอวกาศที่มืดมิดและหนาวเย็น สิ่งนี้จะเป็นจุดจบของระบบสุริยะของเรา

 

มนุษยชาติจะรอดไหม:

ความเป็นไปได้ที่มนุษยชาติจะรอดจากการระเบิดของดวงอาทิตย์นั้นเป็นไปได้น้อยมาก หากเราสมมติว่ามนุษย์ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า มนุษย์อาจสร้างที่หลบภัยในอวกาศหรือหาที่อยู่อาศัยใหม่ในระบบดาวอื่น แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือเวลาที่จำกัด

การระเบิดของดวงอาทิตย์จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและทำลายทุกสิ่งภายในเวลาอันสั้น นอกจากนี้ การหาสถานที่อื่นในจักรวาลที่สามารถสนับสนุนชีวิตแบบเดียวกับโลกเป็นเรื่องที่ยากมาก จึงเป็นไปได้สูงว่ามนุษยชาติจะไม่สามารถรอดพ้นจากการระเบิดของดวงอาทิตย์ได้

 

ดวงอาทิตย์จะไม่ระเบิดในอนาคตอันใกล้ แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและสิ้นสุดลงในอีกหลายพันล้านปีข้างหน้า มนุษย์ยังมีเวลาในการค้นหาแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่และเตรียมตัวสำหรับอนาคต แต่การเตรียมการนี้ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เพื่อให้มนุษย์มีโอกาสรอดพ้นจากเหตุการณ์ในอนาคต

 

ได้รับการสนับสนุนเนื้อหานี้โดย    โปรตีนใส

ดาวเคราะห์ Blanets ดาวเคราะห์โคจรรอบหลุมดำ

admin No Comments

ดาวเคราะห์ที่โคจรรอบหลุมดำ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “Blanets” เป็นแนวคิดที่น่าทึ่งในทางดาราศาสตร์ ซึ่งเพิ่งได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “Blanets” เป็นการรวมกันของคำว่า “Black Hole” (หลุมดำ) และ “Planets” (ดาวเคราะห์)

ซึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ที่ไม่ได้โคจรรอบดาวฤกษ์ตามปกติ แต่กลับโคจรรอบหลุมดำแทน

การเกิดขึ้นของ Blanets เกิดจากกระบวนการที่ซับซ้อนของการก่อตัวของระบบดาวเคราะห์ในบริเวณใกล้เคียงกับหลุมดำ

ในบางสถานการณ์ วัตถุที่มีมวลน้อย เช่น ฝุ่นและก๊าซ อาจรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ในแถบจานสะสมมวลรอบหลุมดำ

ซึ่งเป็นที่ที่วัตถุจะถูกดึงดูดเข้าสู่หลุมดำ แต่ในบางกรณี วัตถุเหล่านี้อาจกลายเป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบหลุมดำได้

ดาวเคราะห์ที่โคจรรอบหลุมดำจะอยู่ในบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก เนื่องจากอิทธิพลของหลุมดำ การโคจรของดาวเคราะห์เหล่านี้จะมีความซับซ้อนและมีเอกลักษณ์

 

ซึ่งอาจแตกต่างจากการโคจรรอบดาวฤกษ์แบบปกติ นอกจากนี้ ดาวเคราะห์เหล่านี้อาจต้องเผชิญกับการแผ่รังสีแรงสูงจากหลุมดำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศและพื้นผิวของดาวเคราะห์

 

หนึ่งในคุณลักษณะที่น่าสนใจของดาวเคราะห์บางดวงคือการเกิดฝนที่ตกลงมาเป็นโลหะ ดาวเคราะห์เหล่านี้มักจะมีบรรยากาศที่มีองค์ประกอบทางเคมีที่หลากหลาย ซึ่งสามารถทำให้เกิดฝนโลหะได้ ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงมาก ฝนโลหะ เช่น เหล็ก หรือไททาเนียม อาจตกลงมาจากชั้นบรรยากาศบนดาวเคราะห์นั้น

สภาวะดังกล่าวมักจะพบในดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์แม่หรือหลุมดำ ที่ซึ่งพลังงานมหาศาลถูกปล่อยออกมาและทำให้บรรยากาศของดาวเคราะห์ร้อนขึ้นจนถึงจุดที่โลหะสามารถกลายเป็นไอและตกลงมาเป็นฝนโลหะ

 

ตัวอย่างของดาวเคราะห์ที่มีฝนโลหะ ได้แก่ ดาวเคราะห์ในระบบดาว WASP-76b ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดาวฤกษ์แม่มากจนมีอุณหภูมิสูงถึง 2400 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงขนาดนี้ทำให้เหล็กในบรรยากาศของดาวเคราะห์กลายเป็นไอ

และเมื่อลมพัดไอเหล็กไปยังส่วนที่เย็นกว่าของดาวเคราะห์ มันจะควบแน่นกลับมาเป็นของแข็งและตกลงมาเป็นฝนเหล็ก การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับความหลากหลายของสภาวะที่สามารถเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ

ในขณะที่แนวคิดของ Blanets และฝนโลหะยังคงเป็นหัวข้อที่อยู่ในการวิจัยและการค้นพบใหม่ ๆ ในวงการดาราศาสตร์ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมหัศจรรย์และความลึกลับของจักรวาลที่เราเพิ่งเริ่มต้นที่จะสำรวจและทำความเข้าใจ

นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามศึกษาและสังเกตการก่อตัวและการดำรงอยู่ของดาวเคราะห์เหล่านี้ เพื่อเปิดเผยความลับของพวกมันในอนาคต

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย    bk8

ดาวเคราะห์ Upsilon Andromeda b: ขั้วตรงข้ามของความร้อนและความเย็น ดาวเคราะห์ที่ฝนตกเป็นโลหะ

admin No Comments

Upsilon Andromeda b หรือที่รู้จักในชื่อ Saffar เป็นหนึ่งในดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่น่าสนใจที่สุด เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดและสุดขั้ว ดาวเคราะห์นี้เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ Upsilon Andromedae

ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 44 ปีแสงในกลุ่มดาว Andromeda Upsilon Andromeda b ถูกค้นพบในปี 1996

โดยเป็นดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ที่มีลักษณะคล้ายกับดาวพฤหัสบดี แต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีลักษณะการโคจรที่ใกล้กับดาวฤกษ์ของมันมาก

 

หนึ่งในลักษณะพิเศษที่น่าสนใจของ Upsilon Andromeda b คือความแตกต่างอย่างมากในอุณหภูมิระหว่างด้านที่หันหน้าเข้าหาดาวฤกษ์และด้านที่หันหน้าออกไปยังอวกาศ

เนื่องจากดาวเคราะห์นี้โคจรใกล้ดาวฤกษ์มาก ทำให้ด้านที่หันเข้าหาดาวฤกษ์ได้รับแสงและความร้อนจากดาวฤกษ์อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ด้านที่หันหน้าออกไปยังอวกาศแทบจะไม่ได้รับแสงสว่างเลย

ส่งผลให้อุณหภูมิด้านที่หันหน้าเข้าหาดาวฤกษ์มีความร้อนสูงถึงประมาณ 1,400 องศาเซลเซียส ในขณะที่ด้านที่หันออกไปมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าอย่างมาก ทำให้เกิดขั้วตรงข้ามของความร้อนและความเย็นบนดาวเคราะห์ดวงนี้

 

อีกหนึ่งลักษณะที่ทำให้ Upsilon Andromeda b มีความพิเศษคือการที่มันมีฝนตกลงมาเป็นโลหะ เนื่องจากอุณหภูมิที่ร้อนจัดบนด้านที่หันเข้าหาดาวฤกษ์ สารประกอบบางชนิด เช่น เหล็ก และ ซิลิเกต สามารถระเหยกลายเป็นไอและลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์

เมื่อไอนี้ลอยไปยังด้านที่เย็นกว่า ซึ่งอุณหภูมิต่ำลงอย่างรวดเร็ว ไอเหล่านี้จึงควบแน่นและกลายเป็นหยดฝนที่ตกลงมาเป็นโลหะสู่พื้นผิวของดาวเคราะห์

นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งซึ่งทำให้ Upsilon Andromeda b เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่เหมือนใคร

Upsilon Andromeda b ยังมีลักษณะการโคจรที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ มันเป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ในลักษณะที่เรียกว่า “Tidal Locking”

หรือการถูกล็อคด้วยแรงน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งหมายความว่าด้านหนึ่งของดาวเคราะห์จะหันหน้าเข้าหาดาวฤกษ์ตลอดเวลา ในขณะที่อีกด้านหนึ่งจะหันออกไปยังอวกาศตลอดเวลา ทำให้เกิดขั้วของความร้อนและความเย็นที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ด้วยคุณสมบัติที่แปลกประหลาดและน่าทึ่งเหล่านี้ Upsilon Andromeda b ได้กลายเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์นอกระบบที่ได้รับความสนใจจากนักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์มากที่สุด

การศึกษาดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการก่อตัวและวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่น ๆ แต่ยังช่วยเปิดเผยความหลากหลายของสภาพแวดล้อมที่สามารถพบเจอได้ในจักรวาล

การค้นพบเช่นนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้มนุษย์สำรวจและศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับจักรวาลและการดำรงอยู่ของชีวิตในที่อื่น ๆ

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    โอเล่777