29
เม.ย.
2021
หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบันมันมีบางสิ่งที่เรานั้นสามารถค้นหาคำตอบเกี่ยวกับการเกิดหรือการมีอยู่ของมันได้ แต่ก็มีอยู่หลายสิ่งเช่นเดียวกันที่เราไม่สามารถบอกได้ว่า มันคืออะไรกันแน่ มันเกิดขึ้นมาได้อย่าง แต่ก็ใช่ว่าเมื่อไม่รู้และยังหาคำตอบไม่ได้แล้วจะมีการหยุดศึกษา แต่เปล่าเลยยิ่ง สิ่งนั้นหาคำตอบยาก แต่ไหนมันยิ่งเป็นสิ่งที่บอกว่าพกเรานั้นไม่ได้เก่งที่สุด ดังนั้นจึงต้องพยายามค้นหาคำตอบให้เจอเร็วๆ
แน่นอนว่ามีหลายๆ คนที่รู้จักดาวเคราะห์ที่มีวงแหวน ที่อยู่ในระบบสุริยะของเราอย่างแน่นอน เพราะพวกมันเป็นอะไรที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก สำหรับดาวเคราะห์ที่มีวงแหวนในระบบสุริยะ ของเรามีอยู่สองดวงด้วยกันคือ ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ซึ่งวงแหวนของพวกมัน ยังเป็นสิ่งที่น่าทึ้งเอามากๆ อีกด้วย ในระบบสุริยะที่ว่ายังมีอีกสิ่งที่เราควรจะรู้จัก นั่นคือ Asteroid Belt
หรือก็คือแถบดาวเคราะห์นั่นเอง ซึ่งแถบดาวเคราะห์ที่ว่ามันจะทำหน้าที่แยกดาวเคราะห์ชั้นใน และดาวเคราะห์ชั้นนอกออกจากกัน Asteroid Belt ที่ว่านี้มันเป็นชื่อที่ชัดเจนเพราะมันเป็นวงแหวน ของดาวเคราะห์น้อยและเศษซากอื่นๆ ในอวกาศที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับอวกาศมักจะนำส่วนนี้มาใช้อยู่เสมอ
โดยที่ปกติแล้วในภาพยนตร์จะแสดงให้เห็นว่าแถบดาวเคราะห์น้อยที่ว่านี้จะเป็นพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยดาวเคราะห์ที่ลอยตัวอยู่ในอวกาศอย่างหนาแน่นและกลุ่มเมฆหินที่หนาทึบ ซึ่งยานอวกาศที่หลงเข้าไปจะต้องหลบหลีกอุปสรรค เหล่านี้ให้ได้ เพื่อที่นำตัวยานข้ามอีกด้านหนึ่ง มีหลายๆ คนที่คิดว่าแถบดาวเคราะห์ที่เราเห็นในภาพยนตร์นั้นเหมือนกับความเป็นจริง แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าคุณคิดผิด
เพราะถ้าหากให้เทียบกันดาวเคราะห์น้อย กับโลกของเราจากพื้นดินของดาวเคราะห์น้อยขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็ไม่ได้ต่างไปจากพื้นดินกับท้องฟ้าบนโลกของเราเลย ที่เครื่องบินจะสามารถไต่เพดานบนได้สบายๆ โดยอีก ทั้งดาวเคราะห์น้อยแต่ละดวงนั้นยังอยู่ห่างใกล้กับพอสมควรและมัน ก็มีระยะห่างกันที่มากพอสำหรับยานอวกาศ ที่จะสามารถเดินทางผ่านมันได้
ซึ่งโอกาสที่จะเกิดการชนกันระหว่างดาวเคราะห์น้อย กับยานอวกาศนั้นมีน้อยมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกี่ยวกับแถบดาวเคราะห์น้อยที่ว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เรา ยกขึ้นมาพูดเพียงเท่านั้น เพราะมันยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับแถบดาวเคราะห์น้อยให้เราได้ศึกษากันอยู่อีกมากมาย
สนับสนุนเรื่องราวโดย. สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ
25
เม.ย.
2021
ดาวนับล้านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ที่เรามักจะมองเห็นในเวลากลางคืนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่อยู่นอกโลกของเราทั้งนั้น บางคนชอบที่จะมองแสงของมันในยามราตรีที่ถึงจะไม่สว่างมากเท่ากับแสงของด้วยอาทิตย์ในเวลากลางวันแต่ก็ยังชอบ ชอบที่มันเป็นดาวที่ยังมีแสงสว่างที่ไม่ได้สว่างมาก แต่บางคนชอบที่จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแต่มีแสงแดดอุ่นๆ และทำให้เราได้ชดชื่น
ในโลกของเราใบนี้นั้นคุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าต้นหรือพืช ถ้าไม่มีแสงแดดจากดวงอาทิตย์พวกมันจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ไม่ แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ก็คือ มันไม่สามารถอยู่ได้แน่นอนเพาะไม่มีแสงที่จะนำมาสังเคราะห์แสง และแน่นอนว่าถ้าไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์จะมีแต่พืชและต้นไม่ที่จะอยู่ไม่ได้ มนุษย์อย่างเราก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้เช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่าขาดแสงจากดวงอาทิตย์ไป เมื่อถึงดวงอาทิตย์แล้วอย่างที่เราทราบกันดีว่ามันก็คือดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกของเรามากที่สุด สำหรับดาวฤกษ์หรือดวงที่ไม่ได้เป็นดาวฤกษ์มีอยู่อย่างมากมายในจักรวารที่กว้างแห่งนี้ ละสำหรับวันนี้ถ้าหากจะพูดเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ก็คงจะเป็นอะไรที่ง่ายเกิดไป ดังนั้นเรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับดาวที่มีชื่อว่าดาว EBLM J0555-57Ab ดูเหมือนว่าดาวฤกษ์ในส่วนมากจะต้องมีขนาดที่ใหญ่โต
แต่ถ้าหากว่ามันก็คงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะดารฤกษ์บางดวงนั้นมันอาจจะมีขนาดที่เล็กกว่าที่เราคิดเอาไว้ก็ได้ และซึ่งมันอาจจะเล็กกว่าขนาดของดาวเสาร์อีก ถ้าหากนำเอาดาวเสาร์มาเทียบกับโลกแล้วนั้นโกของเราจะมีขนาดที่เล็กมาก แต่ดาวเสาร์ที่ว่าใหญ่แต่มันก็ยังเล็กกว่าดวงอาทิตย์อยู่มาก
แต่อย่างไรก็ตามนักดาราศาสตร์ได้มีการค้นพบดาวฤกษ์ที่มีขนาดเท่ากับดาวเสาร์ซึ่ง ดาวดวงนั้นก็คือ ดาว EBLM J0555-57Ab ที่เราได้กล่าวไว้เบื้องต้นนั้นอง ดาวดวงนี้ตั้งอยู่หางจากโลกของเราออกไป 600 ปีแสง ถ้าหากว่าดาวฤกษ์มีขนาดที่เล็กกว่านี้ดาวฤกษ์จะไม่มีแรงกดดันภายในเพียงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียสฟิวชันได้ และแม้ว่าดาว EBLM J0555-57Ab นี้จะมีขนาดที่เล็กไป
หน่อยแต่ขนาดเท่ารี้ก็ยังคงเหมาะสมที่จะตอบสนองความต้องการของมวลขั้นต่ำที่จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียสฟิวชัน ซึ่งมันเป็นกระบวนการของดาวฤกษ์ ที่จะก่อให้เกิดความร้อนเละแสง อย่างไรก็ตามถ้า ดาว EBLM J0555-57Ab มีขนาดที่เล็กลงกว่านี้มันอาจที่จะต้องเปลี่ยนสถานะจากดาวฤกษ์มาเป็นดาวแคระน้ำตาลก็เป็นได้
สนับสนุนโดย คาสิโนออนไลน์ เติมเงินขั้นต่ำ 100 เดียว
19
เม.ย.
2021
อย่างที่เราทราบกันดีว่าโลกของเรานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบสุริยะ แต่ระบบสุริยะก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดเพราะสิ่งที่ใหญ่กว่าระบบสุริยะนั้นก็คือ กาแลกซี่ สำหรับกาแลกซี่ที่ระบบสุริยะและโลกของเราอาศัยอยู่นั้นมีชื่อว่ากาแลกซี่ทางช้างเผือกนั้นเอง แน่นอน ว่ากาแลกซี่ทางช้างเผือกนั้นก็ไม่ได้ใหญ่ที่สุดเพราะมันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในจักรวารของเราเท่านั้น และอย่างที่เรารู้กันว่าในจักรวารหรือในระบบสุริยะของเรานั้นมีดาวฤกษ์อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าดาวฤกษ์ดวงที่ใกล้โลกของเราที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นดวงอาทิตย์แน่นอน
ดาวฤกษ์ที่เรารู้จักกันดีในระบบสุริยะนั้นก็คือดาวอาทิตย์ แต่แน่นอนดาวอาทิตย์ไม่ได้เป็นดาวฤกษ์เพียงแค่ดวงเดียวแน่ในจักรวารที่กว้างใหญ่แห่งนี้ เพราะนอกจากดาวฤกษ์ระบบสุริยะแล้วยังมีดาวฤกษ์ที่อยู่นอกระบบสุริยะอีกมากมายหลายดวงอีกด้วย สำหรับในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับดาวฤกษ์ที่มีชื่อว่า ดาวVega หรือเราจะเรียกดาวดวงนี้อีกชื่อหนึ่งว่า Alpha Lyrae(AlphaLyr)
ดาวฤกษ์ดวงนี้มันเป็นดาวฤกษ์ที่มีความสว่างที่สุดในกลุ่มดาวกลุ่มดาวพิณ และยังสว่างที่สุดเป็นอันดับห้าในกลุ่มท้องฟ้ายามราตรี และยังเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดเป็นอันดับสองในซีกฟ้าเหนือรองจากดาว Arcturus หรือดาวดวงแก้ว โดยที่ดาว Vegaจะอยู่ค้อนข้างใกล้กับโลก
ซึ่งจะมีระยะห่างจากโลก 25 ปีแสง อีกทั้งดาวVega และดาวArcturus ก็ถือว่าถือว่าเป็นกลุ่มดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในย่านของดวงอาทิตย์เรา และสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดาวVega นั้นก็คือรูปร่างของมัน คุณคงจะสงสัยว่ารูปร่างของมันนั้นจะมีความน่าสนใจอย่างไรเพราะมันก็จะคงเหมือนๆ กับดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ นั้นแหละ แต่เปล่าเลยรูปร่างของมันมีความน่าสนใจก็คือ มันมีรูปร่างที่คล้ายกับไข่นั้นเอง ซึ่งดาวVega นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในดาวฤกษ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งจะดูเหมือนว่านักดาราศาสตร์จะกำลังศึกษาดาวฤกษ์ดวงนี้มากกว่าดวงอาทิตย์ของเราเสียอีก
แต่สุดท้ายนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถึงนักดาราศาสตร์หรือไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์จะมีการศึกษา ดาวVega มากว่าที่จะศึกษาดวงอาทิตย์จริงๆ แต่อย่างไรดวงอาทิตย์นั้นก็เป็นดาวฤกษ์ที่มีความสำคัญกับโลกของเราเป็นอย่างมาก เราไม่ความที่จะปล่อยผ่านไป เพราะถ้าโลกใบนี้ของเราไม่มีดวงอาทิตย์มนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็คงจะหายไปจากโลกนี้และไม่มีอะไรอยู่ได้เช่นเดียวกัน
สนับสนุนโดย. ufabet
9
เม.ย.
2021
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่นอกโลก หรือเกิดขึ้นในอวกาศที่แสนจะลึกลับและซับซ้อนของเรา แม้แต่นักวิทยาศาสตร์หรือนักดาราศาสตร์ที่ว่าเก่ง แต่ดกว่าที่พวกเข้าจะสามารถค้นพบสิ่งต่างๆ ในอวกาศได้ นั้นก็ใช้เวลานานพอสมควร และเมื่อค้นพบแล้วก็ต้องหาทฤษฏีต่างๆ มากมายเพื่อที่จะมาอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นพบ และเผยแพร่ออกมาให้เราได้ศึกษาในอนาคต ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้นักดาราศาสตร์จะสามารถค้นพบ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทั้งในและนอกระบบสุริยะมากมาย แต่พวกเขาก็ยังที่จะไม่หยุดที่จะค้นหาเพราะพวกเขานั้นเชื่อว่ายังมีดวงดาวอีกมากที่ยังไม่มีการถูกค้นพบ
สิ่งที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องของอวกาศ หรืออาจจะรู้แต่ก็เป็นคนส่วนน้อย และสิ่งที่ น่ากลัวที่เรากำลังจะพูดถึงในตอนนี้เลยก็คือ สิ่งที่เราเรียกว่าหลุมดำนั้นเอง หลุมดำที่ว่าเป็นสิ่งที่สามารถดูดเอากาแลกซี่หรือระบบสุริยะของเราเข้าไปทั้งหมดเลยก็ได้ และเมื่อมันดูดสิ่งอะไรเข้าไปแล้วสิ่งที่เอาไปอยู่ในหลุมดำยังไม่มีอะไรที่ได้ออกมา
นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเมื่อหลุมดำดูดเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปแล้วถ้าสิ่งเหล่านั้นต้องการที่จะออก มันจะต้องมีความเร็วกว่าแสง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่มีความเร็วกว่าแสงเลย ในปัจจุบันนี้มีการค้นพบดาวเคราะห์ ดวงหนึ่งที่มีหลุมดำอยู่ใจกลางของมัน ดาวดวงนั้นมีชื่อว่าQuasi-starหรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หลุมดำดาวฤกษ์ มันคือสมมุติฐานของการมีอยู่ของดวงฤกษ์มวลยิ่งยวด ที่คาดว่ามันน่าจะมีตัวตนอยู่ในช่วงยุคเริ่มต้นของจักรวาล โดยที่องค์ประกอบภายในของQuasi-star นี้จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างไปจากองค์ประกอบของดาวฤกษ์ที่ในสมัยใหม่ที่เรารู้จัก
เพราะดาวฤกษ์ในปัจจุบันนั้นจะมีการขับเคลื่อนโดยการหลอมนิวเคลียส ณ ใจกลางดวงดาว ในขณะที่ Quasi-star นั้นจะมีพลังงานมาจากการรวงล่นของมวลสารที่อยู่ภายในใจกลางดาวซึ่งเป็นที่อยู่ของหลุมดำนั้นเอง และยังมีการคาดการกันว่าหลุมดำดาวฤกษ์ที่ว่านี้น่าจะมาการก่อตัว มาจากการยุบตัวของแกนดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ดาวฤกษ์ก่อเกิด หลังจากที่ใจกลางของดาวได้ยุบตัวลงมา กลายเป็นหลุมดำแล้วมวลสารชั้นนอกของดาวในขณะนั้นยัง
มีปริมาณที่มหาศาลหลงเหลืออยู่ และเพียงพอต่อการซึมซับเข้าสู่หลุมดำ ที่กลางดาวและเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เราเรียกกันว่าซูเปอร์โนวานั้น นอกจากนี้ดาว Quasi-star ที่ว่านี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจและให้เราได้ลองไปศึกษาอีกมา
สนับสนุนโดย. คาสิโนออนไลน์888
2
เม.ย.
2021
เป็นที่ทราบกันดีว่าโลกและระบบสุริยะของเรานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ในกาแลกซี่ทางช้างเผือกเท่านั้น กาแลกซี่ ดวงดาวต่างๆ มีอยู่มากมายในอวกาศอันกว้างใหญ่ จนบางทีเรื่องที่เราเคยได้เรียนมาในบทเรียน เกี่ยวกับโลกดาราศาสตร์และดวงดาวต่างๆ นั้นคงเป็นเพียงส่วนที่เล็กนิดเดียว ของอวกาศทั้งหมด
มีคำถามมากมายที่เกี่ยวกับระบบสุริยะของเรา ดวงดาวต่างๆ ที่เรานั้นมองเห็นอยู่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้กับโลกของเรามากที่สุด หรือแม้แต่ดาวที่อยู่ห่างใกล้เราออกไปจนไม่สามารถที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ มีดวงดาวอยู่กี่ดวงกันแน่ในกาแลกซี่ทางช้างเผือก ดาวฤกษ์ดวงไหนที่มีขนาดเล็กที่สุด และดาว ดวงไหนที่มีขนาดหึมาที่สุดในกาแลกซี่ทางช้างเผือกกันแน่
ถ้าหากเราเรียนเกี่ยวกันอวกาศภายในห้องเรียนมาคำถามที่ว่าดาวฤกษ์ดวงไหนมีขนาดใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ต้องเป็นดวงอาทิตย์เป็นแน่ เป็นดาวที่โลก ของเราโคจรรอบ ๆ มัน แต่ถ้าเรามองไปไกลขึ้นกว่าเดิมกาแลกซี่ทางช้างเผือก ที่เราอาศัยอยู่นั้นมีดาวดวงไหน กันที่ครองตำแหน่งยักษ์ใหญ่ไป ในปี 1860
นักดาราศาสตร์ ได้มีการสังเกตเห็นว่า ดาว BD-125055 มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากในช่วงเวลาเพียง 740 วันเท่านั้น หรือระยะเวลาปราณสองปี และนี้ส่งผลในนักดาวราดาศาสตร์ มีความเชื่อกันว่ามันจัดอยู่ในกลุ่มดาวจำพวกดาวแปรแสงและอยู่ในขั้นเรทซุปเปอร์ไจแอนท์แล้วอย่างแน่นอน และหลังจากนั้นไม่นานนักดาราศาสตร์ก็ตั้งชื่อให้กับมันใหม่ว่า “UY Scuti” ดาวดาวนี้นั้นประกอบไปด้วย
ฮีเลียม ไฮโดรเจน และธาตุอื่นๆ ที่หนักกว่า ซึ่งมันมีความคล้ายคลึงกับองค์ประกอบทางเคมีกับดวงอาทิตย์ของเรา ดาวฤกษ์ดวงนี้นี้มีขนาดใหญ่ถึง 1.2 พันล้านกิโลเมตร และมีขนาดเส้นรอบวงถึง 7.5 พนล้านกิโลเมตรกันเลยทีเดียว ถึงแม่ว่าเราจะรู้ว่ามันมีขาดใหญ่แค่ไหน แต่นักดาราศาสตร์ก็ยังไม่สามารถทราบอายุที่แน่นอนของมันได้
อย่างไรก็ตามอย่างที่เราทราบกันดีว่าดาว UY Scuti ที่ว่านี้ เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่เอามาก และถ้าหากว่าวันหนึ่งมันเกิดการสิ้นอายุขัยของมันด้วยการระเบิด คงจะเป็นการระเบิดครั้งใหญ่และรุนแรงเป็นอย่างมากแน่นอน แต่เหตุการณ์ที่ว่านี้คงจะไม่เกิดขึ้นให้เราเห็นในเร็วๆ นี้แน่ และกว่าวันที่ดาว UY Scuti จะมาถึงวันที่สิ้นสุดอายุขัยของมันแน่นอนว่าวันนั้นเราคงจะไม่ได้อยู่ดูปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนี้อย่างแน่นอน
สนับสนุนโดย. gclub ทดลองเล่นฟรี
25
มี.ค.
2021
สิ่งต่างที่เกิดขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือแม้แต่ระบบสุริยะของรายังมีต้นกำเนิดของการเกิด การเกิดของสิ่งต่างๆ บนโลกหรือนอกโลกเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นถึงแม้ว่ามีต้นกำเนิดทีเหมือนกันแต่มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน อย่างกาแลกซี่ต่างๆ ในอวกาศแม้ว่าจะมีต้นกำเนิดเหมือนกันคือการระเบิดของบิ๊กแบง แต่ลักษณะของกาแลกซี่และดาวเคราะห์ต่างๆ ภายในก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย
เมื่อพูดถึงเรื่องขอการกำเนิดสิ่งต่างๆ แล้วหินเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและน่าค้นหาเป็นอย่างมาก หินนั้นมีอยู่ทุกที่เราอาจจะพบตามชายหาด บนพื้นของท้องทะเล ในทะเลทรายบนภูเขา ในท้องทุ้ง หรือแม้แต่ในสนามหลังบ้านของเราเอง และดินที่เราเห็นกันทั่งๆ ไปนั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากหินเหมือนกัน แล้วการเกิดของหินเกี่ยวกับวัฏจัรของงหินนั่นเกี่ยวข้องกกันอย่างไร
เราจะมารู้ไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า หินนั้นเกิดจากแร่หลายชนิดที่แข็งตัวเกิดรวมกันเป็นก่อน และสีสันของหินที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกันไป แถมบางก้อนยังมีลวดลายแปลกๆ อีกด้วย นักธรณีวิทยาได้แบ่งหินเป็นกลุ่มๆ ตามการเกิดของงมันซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ หินอัคนี หินตะกอน และ หินแปร หินอัคนีเกิดจากหินหลอมเหลวที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวโลกขอเรา
และมีอุณหภูมิที่สูงมาก ต่อมาเป็นหินตะกอน หินตะกอนจะมักเกิดเป็นชั้นๆ ซึ่งหินตะกอนที่ว่านี้ก็มีหลายชนิดเช่นเดียวกัน และสุดท้ายหินแปร หินแปรนั้นเกิดจากการแปรสภาพของหินอัคนี และหินตะกอน โดยความร้อนและความกดดันสูงใต้พื้นผิวของโลก ทำให้หินแข็งเปลี่ยนสภาพไปจากหินเดิม
และถ้าหากว่า หินแปรเกิดการแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็จะไปสะสมตัวเป็นชั้นๆ จนเกิดเป็นหินตะกอนขึ้น และถ้าหากว่าหินตะกอนถูกฝังตัวลงไปยังผิวโลกอาจจะเปลี่ยนเป็นหินแปรได้ และเมื่อหินแปรและหินตะกอนได้รับความร้อนที่สูงมากจนหลอมเหลวเปลี่ยนสภาพเป็นลาวาและเย็นตัวเป็นหินอัคนีในที่สุด และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เราได้กล่าวมานี้ก็คือวักจักรของหินนั้นเอง
หินชนิดต่างๆ ทั้งหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร หินทั้งสามนี้คือกลุ่มใหญ่ของหินทั้งหมด เพราะหินทั้งสามกลุ่นนี้มีหินที่แตกย่อยเข้าไปอีก อย่างไหร่ก็ตามการเกิดขอองหินแต่ละชนิดยัง มีให้ได้ไปศึกษาและค้นคว้าอีกมากมาย เพราะที่เราได้ยกตัวอย่างและพูดถึงมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมดเท่านั้น
สนับสนุนโดย. เล่นคาสิโนออนไลน์ ที่ไหนดี
18
มี.ค.
2021
ถ้าเราพูดถึงเรื่องของทะเลแน่นอนว่าประเทศไทยของเรานั้น ก็มีทะเลที่อยู่ทางภาคใต้ที่มีความสวยงามเป้นอย่างมาก แต่ถ้าเป็นทะเลของต่างประเทศที่แรกที่เราจะนึกถึงเป็นที่แรกๆ เลยก็คือทะเลมัลดีฟส์ เพราะที่นี้นั้นขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเราไปเที่ยวทะเลที่อยู่ในประเทศไทยครบทุกที่แล้ว และอยากที่จะไปเที่ยวทะเลที่อื่นบางมัลดีฟส์ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ทะเลที่เรารู้จักกันทั่วๆ ไปนั้นก็คงจะเป็นสีฟ้าสวยๆ เมื่อกระทบกบแสงแดด และมีรสชาติที่เค็มเอามากๆ หากว่ามันเข้าปากของคุณ
ถ้าพูดถึงเรื่องของทะเลแน่นอนว่า คุณทำงานเหนื่อยมาตลอดทั้งปี และได้วันหยุดพักผ่อนมา ทะเล ก็คงจะเป็นที่แรกที่คุณจะคิดถึงอย่างแน่นอน ทะเลที่อยู่บนโลกของเรา เราก็คงจะรู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่วันนี้เราจะพูดถึงทะเลที่เกิดอยู่บนดวงเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะของเรา และดาวเคราะห์ดวงที่ว่านี้มีชื่อว่าดาวเสาร์นั้นเอง
แน่นอนว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวเคราะห์ที่มีสิ่งที่น่าตื่นเต้นอยู่หลายอย่างมากๆ ถ้าคุณคิดว่า วงแหวนที่สะท้อนแสงของมันนั้นสุดยอดแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่สุดยอดกว่านั้นและยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง ก็คือทะเลมีเทน นั้นเอง ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีบริวารอยู่หลายดวง หนึ่งในนั้นคือ ดวงดาวไทรทัน เป็นดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์
และมันยังเป็นดินแดนที่ลึกลับของนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะว่าดาวดวงนี้นั้นมีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นมาก อุปกรณ์ที่ถ่ายภาพส่วนใหญ่จึงถ่ายได้แค่เพียงชั้นบรรยากาศเท่านั้น จนกระทั้งยานอวกาศแคสสินีได้แบกเรดาร์บินผ่านดวงจันทร์ไทรทัน ซึ่งมันนั้นสามารถสะท้อนซีพียูของไทรทันขึ้นมา
ซึ่งมันยังสามารถสะท้อนผิวของไทรทันขึ้นมาสร้างเป็นภาพลักษณะ ภูมิประเทศเบื้องต้นได้ และนั้นยังสามารถทำให้เราว่าไทรทันมีการปล่อยไออีเทน ละมีเทนออกมา สำหรับการค้นพบทะเลมีเทนของดวงจันทร์ไทรทัน ดาวบริวารของดาวเสาร์ นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์เข้าใจว่าชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นนี้ เกิดจากการที่รังสีอัตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ได้เข้ามาทำให้ โมกุลของ มีเทนแตกตัวจนหมดละแหล่งมีเทน ใต้ดาวนี้เองทำให้ได้บรรยากาศที่มีแต่มีเทน
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ พบจะไม่ใช่มหาสมุทร แต่มันก็ไม่ได้ทำให้นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ล้มเลิกความตั้งใจในการค้นหาข้อมูลเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดาวดวงนี้ แถมยังทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ให้ความสนใจกับมันมากขึ้นอีกด้วย
สนับสนุนโดย ufabet เว็บหลัก
11
มี.ค.
2021
อย่างที่เรารู้ๆ กันดีว่าโลกของเรานั้นอาศัยอยู่ในระบบ ระบบหนึ่งเท่านั้น และระบบนั้นก็คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก หรือถ้าไม่รู้ก็คงจะเป็นส่วนที่น้อยมากๆ สำหรับระบบที่โลกของเราอยู่นั้นมีชื่อว่าระบบสุริยะนั้น ในระบบแห่งนี้นั้นจะประกอบไปด้วยดาวฤกษ์หนึ่งดวงนั้นก็คือดาวอาทิตย์ และนอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์ในระบบอีกซึ่งหนึ่งในดาวเคราะห์ที่ว่านี้ก็รวมถึงโลกของเราด้วยเช่นกัน
ดาวอาทิตย์นั้นเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกของเรามากที่สุด แต่ดาวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในระบบสุริยะกลับไม่ใช่โลกของเรา แต่เป็นดาวเคราะห์ชั้นในที่มีชื่อว่า ดาวพุธนั้นเอง อย่างไรก็ตามดาวอาทิตย์นั้นไม่ใช้ดาวฤกษ์เพียงดวงเดียว ที่อยู่ในจักรวารที่แสนกว้างใหญ่แห่งนี้แน่นอน เพราะในจักรวารแห่งนี้นั้น มีดาวฤกษ์ที่น่าทึ่งมากกว่าดวงอาทิตย์อยู่อีกมากมาย
จนเราไม่อยากจะเชื่อกันเลยทีเดียว และกว่าในทศวรรษที่ผ่านมานี้ นักดาราศาสตร์ได้มีการค้นพบ ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มCamelopardalis หรือ กลุ่มดาวยีราฟ กลุ่มดาวขนาดใหญ่ในซีกฟ้าเหนือ ที่อยู่ห่างจากโลกของเราถึง 13,000 ปีแสง ซึ่งนักดาราศาสตร์จะเรียกว่า MY Camelopardalis(MY Cam)
แรกเริ่มเดิมทีนั้นนักดาราศาสตร์สมัครเล่นที่ได้ค้นพบ พวกเขา มีความคิดว่าได้เห็นดาวฤกษ์ที่มีมวลสูงเพียงดวงเดียว แต่ในไม่ช้านักดาราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญก็ได้มีการพบว่าเขานั้นกำลังมองเห็นดาวฤกษ์ถึงสองดวง ที่มันกำลังโคจรรอบกันและกันอยู่อย่างใกล้ชิด โดยที่ดาวฤกษ์ทั้งสองจะมีการโคจรรอบกันเองเสร็จสมบรูณ์ในระยะเวลาแค่เพียง 1.2 วันเท่านั้น
ในระบบของ MY Camelopardalis ดาวฤกษ์ดวงที่ใหญ่กว่าจะมีมวล 38 เท่าของดวงอาทิตย์ของเรา และในขณะที่ดาวฤกษ์ที่เล็กกว่าจะมีมวล 32 เท่าของดวงอาทิตย์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ได้มีการคาดการว่าดาวฤกษ์ทั้งสองดวงในระบบMY Camelopardalis จะต้องเกิดการปะทะกันในสักวันหนึ่ง สิ่งที่ว่าก็จะมีการสร้างดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ที่มีมากกว่าดาวอาทิตย์ถึง 60 เท่า
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วบรรยากาศของดาวฤกษ์ทั้งสองก็ได้มีปฏิกิริยาต่อกันอยู่แล้ว และสิ่งที่ว่านี้ก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั้งที่แกนของดาวฤกษ์ทั้งสอง ได้มีการหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีการรู้แน่ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น แต่อย่างไรก็ตามพวกเขายังได้มีการคาดการอีกว่าการควบรวมของดาวฤกษ์ทั้งสองจะสร้างการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นได้
สนับสนุนโดย ทางเข้า UFABET ภาษาไทย
3
มี.ค.
2021
อย่างที่เรารู้ๆ กันดีว่าโรคติดต่อนั้นเป็นที่น่ารังเกียจของสังคมเป็นอย่างมาก โดยส่วนมากแล้วถ้าเราพูดถึงเรื่องของโรคติดต่อ สิ่งแรกที่เราจะนึกถึงเลยก็คงจะหนีไม่พ้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นแน่แท้ และแน่นอนว่าถ้าคุณหรือคนรอบข้างของคุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เป็นคนที่สามารถทำให้โรคที่คุณเป็นอยู่แล้วแพร่ ให้คนอื่นจนติดกันได้แล้วนั้น แน่นอนว่าสิ่งแรกที่คุณจะได้รับเมื่อคนในสังคมรับรู้เลยก็คือสายตาที่ใช้มองนั้นแน่นอนว่ามันจะต้องทำให้คุณสู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
โรคติดต่อนั้นทุกคนในที่นี้หรือทุกคนในโลกนี้ คงจะไม่มีใครอยากติดแน่นอน แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าคำว่าโรคติดต่อนั้นไม่ได้สามารถติดตอนที่คูณโตขึ้นมาแล้ติดโดยการมีเพศสัมพันธ์โดยที่คุณลืมป้องกันเพียงอย่างเดียว เพราะมันยังมีโรคติดต่อที่คุณที่อาจจะทำให้คุณมีความผิดปกติมาตั้งแต่เกิด เราจะเรียกการติดต่อแบบนี้ว่าโรคติดต่อทางพันธุกรรม
ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักโรคติดต่อทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติทางโครโมโซม วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคที่มีชื่อว่าดาวน์ซินโดม(Down’s syndrome) โรคที่ว่าเป็นความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมานั้นเอง สำหรับเด็กที่มีโคโมโซมคู่ที่21 เกินมานี้ จะทำให้เด็กกลุ่มนี้
มีเฉลาปัญญาที่ต่ำ พูดช้า มีปัญหาในการใช้กล้ามเนื้อ และมีลักษณะภายนอกที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า อย่างเช่นหน้าของเขาจะแบน หัวแบน จมูกแบน ตาเล็กเป็นวงรี คอสั้น และตัวเตี้ยกว่าเด็กหรืคนในวัยเดียวกันเมื่อโตขึ้น แล้วยังอาจจะมีปัญหาในด้านสุขภาพต่างๆ ตาม และเป็นสาเหตุทำให้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอายุที่สั้นกว่าปกติอีกด้วย สำหรับอาการของดาวน์ซินโดม ก็จะมีโครงสร้างของใบหน้าโดเด่นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับคนปกติ สาเหตุของโรคนี้คอความผิดปกติขอโคโมโซมคู่ที่21
โดยที่ปกติแล้วคนเราจะมีโคโมโซมซึ่งเป็นพันธุกรรมที่ควบคุมลักษณะของแต่ละบุคคล อย่างเช่นสีของตา เพศ หรือแม้แต่การพัฒนาของรูร่างหน้าตา ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อครึ่งหนึ่ง และแม่อีกครึ่งหนึ่ง ก็คือพ่อ23โคโมโซม และแม่อีก23โคโมโซม รวมแล้วเป็น 46คู่ แต่ผู้ที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดม จะมีโคโมโซมอยู่ 47 คู่ ซึ่งจะเกินมา 1นั้นเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อที่มาจากเพศสัมพันธ์หรือโรคติดต่อทางพันธุกรรม ไม่ว่าเป็นใครก็คงจะไม่อยากเป็น ผู้ที่โชคร้ายเหล่านั้นแน่นอน
สนับสนุนโดย แอพคาสิโน ได้เงินจริง
23
ก.พ.
2021
พืชต้นสีเขียวๆ นั้นนัมไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ใช้ทำอาหาร หรือว่าใช้เป็นของตกแต่งเท่านั้น แต่มันยังมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด คุณคิดว่าพืชเหล่านี้นั้นมีความลับซ้อนเอาไว้อยู่หรือไม่ แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดว่าเรารู้จักมันเพียง เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของเรา แค่คุณรู้หรือไม่ว่า เราไม่ได้รู้จักมันดีเลย
คุรคิดว่ามันอยู่ใกล้ตัวเราไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจอะไรมาก เพราะเราก็รู้จักมันดีอยู่แล้วแต่ความคิดนี้เป็ความคิดที่ผิดเอามากๆ ใช่ว่าอะไรที่อยู่ใกล้ตัวแล้วเราจะรู้จักมันดีไปเสียทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงเราอาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้
ป่าที่เต็มไปด้วยพืชพรรณชนิดต่างๆ นั้น ถือได้ว่าเป็นปอดที่ใหญ่ที่สุดของเราเลยก็ว่าได้ แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าพืชนั้นมีความลับอยู่หนึ่งอย่างที่ใครหลายๆ คนยังไม่รู้ ซึ่งนั้นก็คือการดมกลิ่นนั้นเอง การดมกลิ่นถือว่าเป็นหนึ่งกลไกลสำคัญอย่างหนึ่ง ในการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต นอกจากการดมกลิ่นื่อหาอาหารแล้ว
ยังสามารถใช้การดมกลิ่นเพื่อที่จะรับรู้ถึงกลิ่นของศัตรูที่แอบซุ้มอยู่รอบๆ ตัวได้ แต่นั้นมันก็เป็นวิธีการเอาตัวรอดของสัตว์ ที่มีชีวิตในอาณาจักรของสัตว์ ซึ่งจะมีเซลล์รับกลิ่นอยู่ที่จมูก แต่กับสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรพืช ก็พืชมันไม่มีจมูกนี้ แล้วมันจะสามารถดมกลิ่นได้อย่างไร แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ต้นฝอยทอง มันเป็นพืชปรสิตชนิดหนึ่ง
ที่มีลักษณะเป็นเส้นใยเล็กสีเหลือนุ่มๆ คล้ายกับขนมฝอยทอง ซึ่งพวกมันจะไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียว จึงสร้างอาหารได้โดยการสังเคราะห์ด้วยแสงไม่ได้ จ้าต้นฝอยทองที่ว่าขึ้นมาจากดิน มันจะเริ่มเลื้อยไปได้ทั่ว เมื่อพวกมันพบต้นพืชที่เป้นเหยื่อของมันมันจะทำการเกาะพืชต้นนั้นไว้แน่น จากนั้นก็จะปล่อยตัวเองให้หลุดจากดิน
เพื่อมัดติดตัวเองกับพืชผู้เคราะห์ร้าย ต้นฝอยทองจะใช้อวัยวะดูดอาหารของมัน แทงทะลเยื้อของพืชต้นนั้น เพื่อที่จะดูดกินน้ำเลี้ยงและสารอาหารจากพืชที่มันทำการเกาะอยู่ จนในที่สุดก็จะคลุมพืชทั้งต้นเหมืออนกับรากร่างแห และไม่นานพืชต้นนั้นก็จะตายลงในที่สุด นักชีวะวิทยาคนหนึ่งเธอเชื่อว่า การเลื้อยของต้นฝอยทองนั้น ไม่ได้เป็นการเลื้อยเป็นซุ่มๆ
แต่มันเป็นการที่ต้นฝอยทองนี้เลื้อยไปโดยใช้การดมกลิ่น เธอได้มีการทดลองในเรื่องนี้โดยการปลุฏเจ้าต้นฝอยทองนี้ลงกระถาง จากนั้นเธอก็ได้วางกระถางที่เต็มไปด้วยต้นมะเขือเทศปลอมๆ ไว้ข้างๆ แต่เจ้าต้นฝอยทองกลับไม่มีการเจริญเติบโตขึ้นมาจากดินแต่อย่างไร กระทั้งเธอได้นำกระถางต้นมะเขือเทศจริงๆ เข้ามาวาง เจ้าต้นฝอยทองดังกล่าวก้ได้มีการเจริญเติบโตออกมาจากดิน
และเลื้อยไปยังต้นมะเขือเทศจริงต้นนั้น และถึงแม้ว่าเธอจะย้ายต้นมะเขือเทศจริงไปวางไว้ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นที่มืด หรือว่ามุมอับที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เจ้าต้นฝอยทองนี้ก็ยังสามารถที่จะเลื้อยไปหาต้นมะเขือเทศได้อยู่ดี อีกทั้งตามบันทึกของนักพฤกษศาสตร์คนหนึ่งได้มีการระบุว่ากลิ่นถือเป็นอีกหนึ่งกลไกลในการอยู่รอดของพืช จึงทำให้เรื่องการดมกลิ่นของพืชนี้ ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย ufabet เว็บแม่