9
มิ.ย.
2020
ในเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ที่หลายๆคนต่างก็มีความเชื่อว่า มันคือสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้จริง มีหลักฐาน มีข้อมูล เวลาเราต้องการจะพิสูจน์อะไรสักอย่างว่าสิ่งนั้นมีจริงหรือไม่จริงนั้น ก็ต้องค้นหาคำตอบในทางวิทยาศาสตร์กันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้ถูกยืนยันในแต่ละเรื่องยังชัดเจน หลายครั้งที่วิทยาศาสตร์เองก็ยังเป็นเพียงแค่ทฤษฎี
เพราะยังคงเป็นปริศนามาช้านาน ถึงแม้ทฤษฎีนั้นจะมีแนวคิดที่สามารถอธิบายได้ แต่ก็ไม่ได้ความว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเป็นจริงอย่างที่ทฤษฎีว่าไว้ เนื่องจากไม่ได้มีการทดลองจริง ส่วนหนึ่งเพราะมันมีความเป็นไปได้ยากตามแนวความคิดของทฤษฎีนั้นด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะนำปริศนาอีก 1 อย่าง ที่ถึงแม้จะมีแนวความคิดที่ทั่วโลกยอมรับ และมีอยู่ในตำราเรียนแล้วก็ตาม แต่ในปัจจุบันก็ยังถือว่าไม่มีความแน่นอน เพราะก็ยังเป็นเรื่องน่าสงสัยสำหรับนักวิทยาศาสตร์อย่างเคย นั้นก็คือ ใจกลางของโลก ความจริงแล้วมันมีอะไรอยู่กันแน่ ไม่ใช่แค่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเท่านั้นที่เกิดความสงสัย
แต่ปริศนานี้ถูกสงสัยมาเป็นเวลานานแล้ว ถึงแม้จะทฤษฎีออกมายืนยันแล้วก็ตาม เมื่อในปีค.ศ.1940 ได้มีนักวิทยาศาสตร์ทำการคำนวณความสมดุลของแร่ธาตุต่างๆที่อยู่บนโลกทั้งหมด ปรากฏว่าแร่ธาตุเหล็กและนิเกิลที่อยู่บนพื้นดินควรจะมีมากกลับน้อยลง จึงได้ทำการสันนิฐานจากการคำนวณนี้ว่า แร่ธาตุทั้ง 2 อย่างนั้นเป็นส่วนประกอบหลักของใจกลางโลก แต่เมื่อถึงปีค.ศ.1950
ได้มีข้อขัดแย้งขึ้นจากทฤษฎีแรงโน้มถ่วงว่า ธาตุเหล็กและนิเกิลนั้นความเบาจนเกินไป ไม่สามารถเป็นใจกลางของโลกได้ ซึ่งในทุกนี้เองมันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนหลายๆคนต่างก็บอกว่า ทำไมไม่ขุดลงไปดูให้รู้แล้วไปเลย วิธีการขุดนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ทำแล้ว แต่ได้มีผลสรุปออกมาว่า ยิ่งเราขุดลงไปใต้พื้นดินลึกมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งพบอุณหภูมิและความดันที่สูง
เป็นเช่นนี้การปฏิบัติการการขุดจึงเป็นเรื่องยาก ซึ่งจากการที่ได้ขุดมานั้นขุดได้ลึกสุดเพียงแค่ 12 กิโลเมตรเท่านั้น จากการคำนวณว่ารัศมีของโลกอยู่ที่ประมาณ 6,400 กิโลเมตร ยังถือว่าห่างไกลมาก นักวิทยาศาสตร์ก็มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ถ้าโลก คือ ผลแอปเปิ้ล การขุดครั้งนี้ยังไม่พ้นเปลือกแอปเปิ้ลเลยก็ว่าได้ โดยรวมแล้วปริศนาว่าใจกลางของโลกนั้นมีอะไรกันแน่ยังคงเป็นปริศนามาโดยตลอด หากจะนำแนวคิดนั้นมาอ้างก็มักจะมีทฤษฎีอื่นๆมาหักความเป็นไปได้เช่นเคย หากว่าอนาคตที่วิทยาการทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น มนุษย์เราและนักวิทยาศาสตร์เองก็จะสามารถไขปริศนานี้ได้อย่างแน่นอน
ได้รับการสนับสนุนโดย ดู E-SPORT
29
พ.ค.
2020
หวยออนไลน์ คือ เว็ปที่เป็นเจ้ามือหวย รับพนันหวยสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการความสะดวกสบายในการแทงหวย โดยใช้การสมัครสมาชิกและใช้โอนเงินผ่านแอปพิเคชั่น ซึ่งให้ความสะดวกสบายแก่คนแทงหวย สามารถแทงหวยได้ทุกที่ แทงจากโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ก็ได้ เพียงแค่เชื่มอต่อกับอินเตอร์เน็ตก็สามารถแทงได้เลย โดยหวยออนไลน์สามารถแบ่งออกไปได้อีกหลายประเภท เช่น หวยใต้ดิน หวยหุ้น เป็นต้น
หวยใต้ดิน คือ การทาวยตัวเลขซื่งอ้างอิงมาจากการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือหวยรัฐบาล โดยมีเจ้ามือหวยคอยรับทายตัวเลขจากผู่เล่น สามารถเล่นได้แบบไม่จำกัดวงเงิน หวยใต้ดินถือเป็นวิธีการเล่นหวยที่เสี่ยง เพราะนอกจากที่จะเป็นหวยที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังมีความเสี่ยงตรงเจ้ามือที่อาจจะมีทุนทรัพย์น้อยหรือเมื่อคุณตัดสินใจเล่นไปแล้วแต่เมื่อคุณแทงถูกรางวัลแต่ก็มีสิทธิ์ที่คุณอาจจะไม่ได้เงินรางวัลก็เป็นได้
หวยออนไลน์ คือ ผู้เล่นจะต้องทำการสมัครสมาชิกเพื่อเล่นหวยออนไลน์ก่อน โดยเข้าไปบนหน้าเว็บไซต์ที่เราเลือก และก่อนที่เราจะกดแทงหวย เราต้องเติมเงินขั้นต่ำตามที่เว็บนั้นๆกำหนด เมื่อเข้าสู่ระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วเลือกแทงตามรูปแบบที่คุณต้องการ โดยกรอกตัวเลขที่คุณจะแทงลงไปในช่องต่าง ๆ พร้อมกับระบุจำนวนเงินที่ต้องการจะเล่น จากนั้นกดตกลง เป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนขั้นต่ำในการแทงหวยออนไลน์นั้นจะเริ่มต้นที่ 10 บาท หวยออนไลน์มีโปรโมชั่นที่หลากหลายกว่า ส่วนลดเปอร์เซนต์ในการแทงแต่ละครั้งก็ลดเยอะมาก แม้ว่าผลรางวัลจะไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างจากหวยใต้ดินสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าหวยออนไลน์นั้นสามารถสร้างเงินได้มากกว่าหวยใต้ดินมากมาย
หวยหุ้น คือ มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับหวยรัฐบาล หรือ หวยใต้ดินที่เราเล่นกันอยู่ในปัจจุบัน หวยของหุ้นในที่นี้ หมายถึง ดัชนีตัวเลขที่ออกโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ช่อง 9 อสมท แต่เจ้ามือหวยเอาเลขเหล่านั้นมาเปิดรับให้ผู้เล่นได้แทงกันในแต่ละรอบ เช่น หุ้นเปิดเช้าปิดเที่ยง เปิดบ่ายปิดเย็น จะเป็นเลขอะไร ผลเลขจะขึ้นอยู่กับผลหุ้นที่ออกโดยตลาดหลักทรัพย์โดยตรง
สนับสนุนโดย ดูบอล
18
พ.ค.
2020
คุณเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวตัวจริงหรือไม่? คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเอง หรือกับใครหรือไม่ว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่? เชื่อเถอะว่าคำตอบของคำถามเหล่านี้มักจะมีทั้งฝ่ายรับและฝ่ายค้าน เพราะเรื่องของมนุษย์ต่างดาวนั้นในทางวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถพิสูจน์หรือค้นหาคำตอบได้ จากหลักฐานต่างๆ
ที่ได้บอกว่ามันคือมนุษย์ต่างดาว หรือการเห็นวัตถุรูปทรงแปลกประหลาดที่เปรียบเสมือนเครื่องบิน แต่มีรูปทรงเป็นเหมือนจานคว่ำบินลอยอยู่เหนือน่านฟ้า ภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอเหล่านั้นเมื่อได้ทำการตรวจสอบแล้วก็พบว่า มีทั้งเป็นภาพจริง และภาพที่ถูกตัดต่อขึ้นมาโดยใช้โปรแกรม ในส่วนของภาพจริงนั้นก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่านั้นคือของจริง หรือเป็นการนำวัตถุมาจัดฉากขึ้น ซึ่งก็ได้มีข่าวลือเรื่องมนุษย์ต่างดาวออกมาว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นมีอยู่จริง ได้ทำการติดต่อมายังโลก ในกองทัพลับของสหรัฐอเมริกา แต่ถูกปิดบังเป็นความลับเอาไว้จนกว่าจะแน่ใจจุดประสงค์การมาเยือนของสิ่งมีชีวิตนอกโลกเหล่านี้
และบางก็ว่า มนุษย์โลกของเราไม่ได้เป็นผู้ค้นพบมนุษย์ต่างดาว แต่มนุษย์ต่างดาวต่างหากที่เป็นผู้ค้นพบมนุษย์โลกเรา และได้พยายามที่จะติดต่อมา ซึ่งในความจริงแล้วมีแนวคิดที่ว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นได้เดินทางมายังโลกมาเป็นเวลานานแล้ว และได้ทำการอาศัยอยู่บนโลกเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปมาเป็นเวลามากกว่า 80 ปีแล้ว
ด้วย แปลกหรือไม่ว่าทำไมเราถึงไม่ทราบ? มีความเชื่อหลากหลายแบบนั้นก็คือ มนุษย์ต่างดาวแท้จริงแล้วไม่ได้มีรูปร่างแปลกประหลาดเหมือนในจินตนาการหรือภาพยนตร์ แต่มีรูปร่างที่คล้ายกับมนุษย์ทุกอย่างเลยด้วย หรือมนุษย์ต่างดาวมีรูปร่างดังในจินตนาการในภาพยนตร์ มีลักษณะที่ลือกันมาว่า มีผิวเป็นสีเทา รูปร่างผอมบางมาก
และมีหัวที่ใหญ่โต แต่มนุษย์ต่างดาวสามารถอำพรางร่างกายที่แท้จริงได้ เอาเป็นความคิดเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์แต่อย่างใด แต่ความคิดที่ว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นอาศัยอยู่บนโลกมานานแล้วนั้นอาจจะมีความเป็นได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ค้นพบซากฟอสซิลของมนุษย์ในสมัยโบราณ และพิสูจน์ว่า มนุษย์แต่เดิมนั้นมีผมสีดำหรือน้ำตาล มีดวงตาสีดำและน้ำตาล
ซึ่งแตกต่างในปัจจุบันที่เราจะเห็นมนุษย์ในบางพื้นที่มีผมสีทองหรือสีขาว และตาที่หลากหลายสี นั้นเป็นความเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นก็มีโครงสร้างของเซลล์เหมือนกับมนุษย์ หากมีการสืบพันธุ์จึงทำให้เกิดมนุษย์รูปแบบใหม่นั้นเอง แต่อย่างไรนั้นทฤษฎีเหล่านี้ก็ยังคงเป็นทฤษฎีต่อไป เพราะไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงได้ แต่เชื่อเถอะว่าจักรวาลของเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลหาที่สิ้นไม่ได้ อาจจะมีดาวที่คล้ายกับโลก และมีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์โลกอาศัยอยู่ก็เป็นได้
สนับสนุนโดย Holiday Palace
2
พ.ค.
2020
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าดวงอาทิตย์มาจากไหน หรือ เกิดขึ้นมาได้จากอะไร เชื่อเถอะว่ามีทั้งคนที่ไม่สงสัยและคนที่กำลังสงสัยอยู่ แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรแล้วเราก็ไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดนักหรอก แม้ว่าในอดีตจนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้หยุดหาคำตอบหลายๆอย่างที่ตั้งขึ้นมาจากดวงอาทิตย์ แต่คำตอบมันเพิ่มมากขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนั้นเอง
ทฤษฎีการเกิดของดวงอาทิตย์ การเป็นของดวงอาทิตย์นั้นมีมากมาย เพราะการสำรวจดวงอาทิตย์ในความจริงแล้วนั้นถือว่าเป็นเรื่องยากอยู่พอสมควร ถึงแม้จะสามารถส่งยานอวกาศไปสำรวจได้ แต่ก็ใช้ว่าจะเข้าใกล้มันได้มาก อย่างที่หลายๆคนทราบกันดีว่าดวงอาทิตย์ให้พลังงานความร้อน และทำลายร้ายสูง พื้นผิวของดวงอาทิตย์นั้นเปรียบเสมือนเปลวไฟเลยก็ว่าได้
เมื่อมีการตั้งคำถามการมีอยู่ของดวงอาทิตย์แล้ว จะไม่มีอีกหนึ่งคำถามตามมาก็ยังไงอยู่นะ ดวงอาทิตย์จะมีวันดับลงสนิทหรือไม่?
แน่นอนว่าสักวันดวงอาทิตย์จะดับลงจากถาวรเลยแหละ เพราะทุกอย่างมีการเกิดขึ้นก็จะต้องมีการดับศูนย์ อย่างเช่น ดาวบางดวงก็ดับศูนย์หายไปจากท้องฟ้า และกลายเป็นดาวตก อย่างที่หลายๆคนเคยเห็นนั้นแหละ
อีกหนึ่งอย่างสำคัญเลยก็คือ ดวงอาทิตย์ถือได้ว่าเป็นสรรพยากรสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะถ้าหากโลกใบนี้ไร้ดวงอาทิตย์ มนุษย์เราจะไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดภายในโลกนี้อีกด้วย มันคงถึงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องสูญพันธุ์แล้วสินะ ซึ่งอันที่จริงแล้วในเราสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้บนโลก แต่จะต้องไม่ใช่การอาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดิน การที่มนุษย์เราจะรอดได้นั้นคือการลงไปอยู่ในเรือดำน้ำ และต้องอยู่ใต้มหาสมุทรที่ลึกมากๆเพื่อความอบอุ่น แต่ถึงอย่างไรแล้วถ้าหากดวงอาทิตย์ดับ
โลกจะเข้าสู่ช่วงของยุคน้ำแข็ง น้ำทะเล น้ำมหาสมุทรจะกลายเป็นน้ำแข็ง และจะค่อยแข็งตัวลงไปใต้มหาสมุทรลงไปเรื่อยๆจนแข็งทั้งหมด ถึงตอนนั้นมนุษย์ก็อาจจะไม่มีสามารถมีชีวิติรอดอยู่บนโลกได้อีกต่อไป เราในยุคปัจจุบันคงอาจจะไม่มีวันได้เห็นดวงอาทิตย์ดับอย่างแน่นอน เพราะเหตุการณ์อาจจะเกิดขึ้นในอีกหลายพันล้านปีข้างหน้า จนถึงตอนนั้นมนุษย์เราคงจะมีเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าพัฒนาขึ้นไปมากกว่านี้ เพื่อเตรียมพร้อมในการเผชิญและรับมือกับเหตุการณ์ดวงอาทิตย์ดับได้ ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ดวงอาทิตย์ดับเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วย
สนับสนุนโดย รู้ทันบาคาร่า
23
เม.ย.
2020
คุณเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า ถ้าดวงอาทิตย์หายไป ดับลงไป หรือไม่มีดวงอาทิตย์ โลกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง มนุษย์เราเกิดมาก็พบความแสงสว่างจากธรรมชาติอ่างแสงของดวงอาทิตย์อยู่แล้ว และมักจะมีคำถามอยู่เสมอว่าทำไมดวงอาทิตย์ถึงมีแสง ทำไมดวงอาทิตย์ถึงร้อน ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นได้อย่างไร และคำถามอีกมากมาย คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เกิดจากอะไรนั้นแหละ เราไม่สามารถค้นหาคำตอบการเกิดขึ้นของพวกมันได้อย่างแน่ชัด เพราะสิ่งมีชีวิตเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองตั้งคำถามเหล่านั้นมันเกิดขึ้นมานานแล้ว ถึงแม้ว่าในอดีตเองจะมีนักวิทยาศาสตร์อยู่แต่ก็ใช้ว่าจะหาคำตอบจากเรื่องนี้ได้
ตั้งแต่ในอดีตจนมาถึงปัจจุบันมนุษย์เราเองก็ไม่ได้หยุดตั้งคำถามเหล่านั้น และยังคอยเฝ้าสังเกตการดูความเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ทุกๆ 10 ปีดวงอาทิตย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อเราตั้งคำถามเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของดวงอาทิตย์แล้ว มันก็คงจะหนีไม่พ้นกับอีกหนึ่งคำถามก็คือ ดวงอาทิตย์จะหายไปหรือไม่ หรือ ดวงอาทิตย์จะดับลงหรือไม่ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าทุกอย่างนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดับศูนย์ ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ดวงอาทิตย์ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาเสียหน่อยในการดับศูนย์และหายไป
และการที่ดวงอาทิตย์หายไปทุกคนก็จะทรายคำตอบันดีอยู่แล้วว่ามันจะต้องส่งผลกระทบต่อโลกอย่างแน่นอน ซึ่งในบทความนี้จะมาพูดถึงเรื่องของ แสงที่จะดับไป คิดถูกแล้วนะที่ว่าดวงอาทิตย์ดับแล้ว โลกเราก็ไร้ดวงอาทิตย์ ไร้แสงสว่าง จะมีแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไรเลยที่อยู่ภายในโลก บนท้องฟ้าเองเราก็จะไม่เห็นดวงจันทร์ ดวงดาวก็จะไม่เห็นเช่นเดียวกัน เว้นแต่ดวงดาวที่มีแสงในตัวของมันเอง
แต่ถึงอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ดับไปโลกเราก็จะไม่ได้มืดลงทันทีในตอนนั้น ยังคงสว่างให้สักระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะแสงยังทำหน้าที่เดินทางอยู่ แต่เมื่อพลังงานแสงที่เดินทางหมดลงแล้ว โลกเราก็จะเข้าสู่ภาวะโลกมืดทันที ฟังแล้วคงจะดูน่ากลัวเลยสินะ แต่กว่าเหตุการณ์การดับศูนย์ของดวงอาทิตย์จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องใช้ระยะเวลายาวนานมากกว่าหลายพันล้านปี
ซึ่งเราที่อยู่ในยุคปัจจุบันคงจะไม่ได้ทันเห็นอย่างแน่นอน แต่เหมือนกับที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่ามีการเกิด ก็ต้องมีการดับศูนย์ ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้อย่างอมตะ แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์เราจะสามารถวิวัฒนาการและพัฒนาความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ไปได้อย่างก้าวไกลมากขึ้น เพื่อที่จะได้พร้อมกับการรับมือกับสถานการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้
9
เม.ย.
2020
เชื่อว่าหลายคนในที่นี้คงจะไม่มีใครไม่เคยฝันกันใช่หรือไม่ ความฝันนั้นมักเกิดขึ้นเมื่อเรานอนหลับไปแล้วเท่านั้น ฟังดูแล้วก็เหมือนกับการจินตนาการในหัวหรือการเกิดภาพซ้อนอย่างที่ใครหลายคนเรียกมันว่า เดจาวู แต่ถึงอย่างนั้นนิยามของความฝันมันคนละแบบกับเดจาวูเลยก็ว่าได้ การเกิดเดจาวูจะเกิดขึ้นแค่บางครั้งและนานๆทีเท่านั้นหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยสำหรับบางคน
แต่เชื่อเถอะว่า ความฝัน น่าจะเกิดขึ้นกับทุกๆอย่างแน่นอน แล้วความฝันมันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ มีใครพอจะทราบกันบ้างไหม ถ้าพูดตามความเชื่อของคนโบราณที่เล่าสู่กันฟังนั้นอาจจะมีความหมายว่า ใครสั่งคนมาเข้าฝันเรา คนตาย คนเป็นที่สามารถออกจากร่างได้ นี่เป็นความเชื่อที่ไม่ได้อาศัยหลักการใดๆ แต่ถ้าจะพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ ความจริงแล้วนั้นก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันมาแต่ช้านานแล้ว จนในปัจจุบันด้วยเช่นกัน เพราะก็ยังสามารถอธิบายได้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้ว ความฝัน นั้นเกิดมาจากอะไร? เกิดมาจากสิ่งใด?
แต่ถ้าหากให้อธิบายตามหลักการที่มีทฤษฏีออกมา และคนส่วนมากนั้นนำมาพูดกัน จนทฤษฎีที่ว่านี้เหมือนจะได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือ ความฝัน นั้นเกิดมาจากจิตใต้สำนึก ที่มันอยู่ลึกๆในความรู้สึก ความคิดของเรา ที่เราอาจจะนึกถึงมันน้อยหรือไม่ได้นึกถึงมันเลย มันจะทำการปะทุเมื่อเราหลับ
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรานั้นหยุดพัก หยุดใช้ความคิดที่กำลังคิดในเรื่องปัจจุบัน เมื่อเราพักความคิดในเรื่องปัจจุบัน ความคิดที่มันถูกฝังอยู่ลึกในจิตใต้สำนึกจะปะทุออกมาให้เราคิดในยามที่เรานอนหลับ จึงเรียกว่า ความฝัน นั้นเอง หรือในอีกคำกล่าวที่ก็สามารถเอามาเถียงได้เช่นกัน เพราะในบางคนก็ไม่ได้ฝันเรื่องที่ไม่เคยคิด แต่เป็นการฝันเรื่องที่คิด
จากเดิมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อมันออกมาอยู่ในรูปแบบความฝันที่ภาพเสมือนจริงนั้น จึงได้นำสิ่งเหล่านี้มากล่าวว่า แท้จริงแล้วความฝันนั้นเกิดจากความคิดของเรานั้นเอง การที่เราสามารถฝันเรื่องที่เราคิดได้นั้นอาจจะเป็นเพราะ ความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว ในเรื่องๆนั้น
ทำให้สามารถเก็บความคิดเหล่านั้นจากตอนที่ไม่ได้มาคิดต่อได้เมื่อยามหลับ ซึ่งมีการวิเคราะห์ออกมาในภายหลังอีกว่า คนเรานั้นสามารถควบคุมทิศทางเรื่องราวของความฝันได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ เพราะอาการหลับของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน บางคนหลับลึก บางคนหลับแต่ก็ยังรู้สึกตัว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า
ยังไม่สามารถหาความจริงของความฝันได้ และยังเป็นเรื่องที่ทำการพิสูจน์กันอยู่ ฉะนั้นแล้วในอนาคตเราอาจจะทราบกันได้แน่นอนว่าแท้จริงแล้ว ความฝัน เกิดจากอะไร
31
มี.ค.
2020
ถ้าเป็นแต่ก่อนการที่จะหาสิ่งมาพิสูจน์ว่ามนุษย์ต่างดาวมีชีวิตอยู่จริง หรือมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกจริงๆนั้น จะต้องอาศัยหลักฐานอย่างภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอ แต่เพราะหลักฐานเหล่านั้นมีผู้คนออกมากระจายข่าวมากมาย จนต้องมีการพิสูจน์ว่าหลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ หลังจากทำการตรวจสอบแล้วพบว่าส่วนใหญ่เป็นปลอม
ที่ถูกตัดแต่งขึ้นมาด้วยโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังมีอีกส่วนที่ยืนยันออกมาว่าเป็นภาพจริงหรือคลิปจริง การที่บอกว่าเป็นของจริงนั้นไม่ได้ยืนยัน100% ว่าสิ่งที่อยู่ในภาพเหล่านั้นจะเป็นของจริง จริงอยู่ที่ว่าภาพหรือคลิปพวกนั้นไม่ได้ผ่านการตัดต่อโดยใช้โปรแกรม
แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าสิ่งที่อยู่ในภาพนั้นเป็นวัตถุที่จัดฉากขึ้นมาเองหรือไม่ ซึ่งถ้าหากว่าใครกำลังศึกษาเรื่องของมนุษย์ต่างหนาว อย่างแรกเลยคืออย่าปักใจเชื่อหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด จะต้องหาหลักฐานทางด้านอื่นๆ และความน่าจะเป็นไปได้ด้วย เช่นเดียวกับสิ่งที่บทความนี้จำเสนอ คือหลักฐานที่ถูกอ้างว่า เป็นของจริงแน่นอน ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีตัวแสดงหรือฉากประกอบ โดยหลักฐานแรกเป็นหลักฐานที่จากภาพถ่ายด้วยกล้องที่สามารถถ่ายได้ในระยะที่ใกล้มากถึงนอกโลก เป็นภาพถ่ายวัตถุเหมือนจานบิน
ที่เมื่อทำการขยายภาพเข้าไปเรื่อยๆ จะเห็นว่ามีสิ่งที่กำลังอยู่ในจานบินลำนั้นที่รูปร่างเหมือนกับมนุษย์ 2 คนที่กำลังอยู่บนนั้นที่กำลังขับเคลื่อนจานบินลำนั้นอยู่ และอีกหนึ่งหลักฐานที่เป็นคลิปวิดีโอ ด้วยกล้องส่องระยะไกลเช่นเดียวกัน ที่กำลังส่องตรวจสอบดวงอาทิตย์อยู่ก็ได้ให้สิ่งแปลกประหลาดเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆกับดวงอาทิตย์ก่อนวัตถุจะหายไป เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อขยายเข้าไปเรื่อยๆทำให้เห็นว่าวัตถุนั้นกำลังดูดดึงพลาสม่าจากดวงอาทิตย์อยู่ ซึ่งในคลิปวิดีโอเห็นเป็นลำแสงดวงอาทิตย์ที่ถูกวัตถุแปลกประหลาดนั้นกำลังดึงไป
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ยืนยันว่าสิ่งนั้นคือ มนุษย์ต่างดาว ที่มาดึงดูดพลาสม่าจากดวงอาทิตย์ไปใช้เป็นพลังงานที่โลกของตัวเอง วิทยาการแบบนี้ทำให้หลายๆคนมีแนวคิดที่ว่าต้องเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน เพราะการไปดึงพลาสม่าพลังงานจากดวงอาทิตย์นั้นเป็นวิทยาการที่มนุษย์ยังไม่สามารถทำได้
และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็มีเพียงแค่มนุษย์ต่างดาวที่อาจจะมีวิทยาการทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่ถึงอย่างไรนักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบกับเรื่องการมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ เพียงแต่มีความคิดที่ว่าจักรวาลแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ในระยะทางแสนไกลที่มีดวงดาวอื่นมากมาย มันก็ไม่แน่เหมือนกันว่าโลกเราจะเป็นดวงดาวดวงเดียวที่มีสิ่งชีวิต
23
มี.ค.
2020
ดวงจันทร์ถ้ามองในเวลากลางคืนที่รายรอบไปด้วยดวงดาวหลายล้านดวง เป็นสิ่งที่สวยมากเลยนะว่าไหม ซึ่งถือว่าเป็นฉากโรแมนติกสำหรับใครหลายๆคนใต้แสงจันทร์เลยก็ว่าได้ แต่อย่างที่ทุกคนทราบกันเป็นอย่างดีว่าภายในความสวยเหล่านั้นที่เหล่ามองเห็นมันโดยมีระยะที่ไกลมากๆ หากได้ลองนั่งยานอวกาศขึ้นดูใกล้แล้วละก็จะเห็นได้ว่าดวงจันทร์ใจนั้นมีพื้นผิวที่ขรุขระมาก ลักษณะก็คือไร้ชั้นบรรยากาศ พื้นผิวขรุขระ ไม่เรียบเนียน ทุกคนๆอาจจะคิดว่าที่เรามองเห็นดวงจันทร์ได้นั้นเพราะว่าดวงจันทร์มีแสง
ต้องบอกก่อนเลยว่ายังมีหลายคนนั้นเข้าใจผิดอยู่ว่าดวงจันทร์สามารถส่องแสงได้ แต่แท้ที่จริงๆแล้วดวงจันทร์ไม่มีแสงสว่างเป็นของตนเอง แสงสว่างของดวงจันทร์ที่เราเห็นนั้นได้รับอิทธิพลมาจากดวงอาทิตย์ เพราะถ้าหากไม่มีดวงอาทิตย์เราก็ไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้ ไม่สามารถมองเห็นดวงดาวหลายพันล้านดวงที่อยู่บนท้องฟ้าได้ จะเห็นก็แต่ดวงดาวที่มันสามารถมีแสงเป็นของตัวมันเองได้เท่านั้น แล้วพวกคุณนั้นเคยคิดกันหรือไม่ว่า ถ้าหากว่าโลกของเรานั้นไม่มีดวงจันทร์จะเป็นอย่างไร หลายคนคงอาจจะไม่เห็นความสำคัญของดวงจันทร์สักเท่าไหร่
เมื่อทราบว่าแสงที่เห็นของดวงจันทร์ ยังต้องใช้แสงของดวงอาทิตย์เข้ามาช่วยเลย แล้วดวงจันทร์จะมีคุณค่าอย่างไร ถ้าไม่มีดวงจันทร์ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก และในบทความนี้เองเราจะมาพูดถึงการไม่มีดวงจันทร์แล้วโลกจะขาดแรงดึงดูด แน่นอนเลยว่าการที่คิดว่าโลกไม่มีดวงจันทร์คงจะไม่เป็นอะไรนั้น เป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะนั้นจะทำให้โลกขาดแรงดึงดูดจากดวงจันทร์ ผลกระทบที่ตามมาจากสาเหตุนี้ก็คือ ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรจะสูงเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาอย่างรุนแรง พื้นที่ที่อยู่ใกล้บริเวณน้ำทะเลนั้นจะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
น้ำในโลกของเรานั้นจะต้องอาศัยแรงดึงดูดของดวงจันทร์ เช่นนี้เราจึงมีปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง แต่เมื่อไม่มีดวงจันทร์แล้ว น้ำจึงดูดด้วยแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์แทนนั้นเอง ทฤษฎีตามแนวความคิดนี้นั้นมีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นได้จริง หากมีข้อสงสัยว่าในเวลากลางวันทำไมถึงไม่เกิดสึนามิ นั้นเป็นเพราะว่าโลกเรายังมีดวงจันทร์โคจรอยู่นั้นเอง
ในเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไปนั้นหมายถึงการที่โลกเราไม่มีดวงจันทร์โคจรอยู่เลย แต่ถึงอย่างไรถ้าหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงก็คงอีกนาน ถึงเวลานั้นมนุษย์เราของจะมีเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาพร้อมที่จะเผชิญปัญหาอย่างแน่นอน
16
มี.ค.
2020
ดวงจันทร์ถือว่าเป็นสิ่งที่สวยงามเลยทีเดียวเมื่อเรามองดูมันในระยะที่ไกล
จากพื้นโลกมองขึ้นไปยังท้องฟ้า หลายคนจะเห็นได้ว่าแสงจากดวงจันทร์นั้นสวยงามและสว่าง หากเราอยู่ในที่แสงเยอะเราอาจจะไม่รัยรู้ถึงแสงของมันหรอก แต่ถ้าหากเราอยู่ที่มืดสนิทไร้แสงไฟจากไฟฟ้าแล้วนั้น เราจะสามารถเห็นแสงจากดวงจันทร์สาดส่องลงมาได้ และเกิดเงาขึ้นขึ้นอีกด้วย เรื่องแสงของดวงจันทร์ยังมีคนที่ยังเข้าใจผิดใช่ไหมล่ะว่านั้นเป็นแสงจากดวงจันทร์ที่มันมีอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นดวงจันทร์เป็นเคราะห์ที่ไม่มีแสงเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ ที่เราเห็นว่ามันมีแสงและสว่างนั้นมันได้รับอิทธิพลจากแสงของดวงอาทิตย์ต่างหากล่ะ และความสวยงามของมันถ้าหากเราขึ้นยานบินอวกาศเดินทางออกสำรวจดวงจันทร์เราจะพบว่าพื้นผิวของดวงจันทร์นั้นมีความขรุขระมาก แต่ถึงอย่างไรแล้วดวงจันทร์ก็มีความสำคัญต่อโลกอยู่ไม่น้อยนะ
อย่างปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ถ้าไม่มีดวงจันทร์ โลกจะได้แรงดึงดูดจากดวงหันไปใช้แรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์แทน น้ำจะไม่ลงในทางกลับกันยังเพิ่มขึ้นสูงจนเกิดเป็นสึนามิขนาดรุนแรงที่สามารถทำลายล้างได้เลย นอกจากจะมีผลต่อระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรแล้ว ยังจะทำให้โลกด้านที่เป็นเวลากลางคืนนั้นมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลยหากไม่มีแสงจากไฟฟ้า ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงอีกหนึ่งสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อโลก ถ้าหากว่าโลกเรานั้นไม่มีดวงจันทร์โคจรอยู่ จะทำให้อุณหภูมิ และสภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด
พื้นที่ที่อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรจะกลายเป็นเขตที่มีอากาศหนาว ในทางกลับกันอย่างขั้วโลกจะกลายเป็นเขตที่ร้อนมาก เพราะการไม่มีดวงจันทร์นั้นส่งผลให้แกนโลกเอียงว่าเดิมจากที่เป็นอยู่ ซึ่งแกนโลกจะเป็นตัวควบคุมฤดูกาล เป็นเช่นนี้แล้วฤดูกาล สภาพอากาศภายในโลกจะไม่เหมือนเดิม และส่งผลให้มนุษย์นั้นปรับสภาพไม่ทัน เพราะมนุษย์แต่พื้นที่นั้นมีความคุ้นชินกับสภาพแวดร้อนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างจะแปรปรวนไปหมด โดยสรุปแล้วถึงแม้ว่าหลายๆคนอาจจะมองว่าดวงจันทร์นั้นไม่เห็นจะมีประโยชน์ต่อโลกเลย ขนาดแสงที่ส่องลงมาก็ยังเป็นแสงที่ดวงอาทิตย์สาดส่องมาให้ก็เท่านั้น
ทีนี้ก็รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าดวงจันทร์นั้นมีความสำคัญต่อโลกไม่น้อยเลย และมนุษย์เราในปัจจุบันคงจะไม่มีโอกาสได้อยู่ถึงวันที่ดวงจันทร์ให้ไปหรอก เพราะเหตุการณ์เหล่านี้คงจะเกิดขึ้นในอีกหลายพันล้านปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นมนุษย์เราเองของมีการพัฒนาการในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้
9
มี.ค.
2020
หลายคนคงเคยสงสัยว่าแอเรียลที่ 51 นั้นมีอะไรอยู่ภายใน
เนื่องจากมันเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ทางการของสหรัฐปกปิดข้อมูลและห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไป และบางคนอาจจะพอทราบได้ว่าเหตุใดทางการณ์สหรัฐนั้นจำเป็นต้องปกปิดข้อมูล นั่นก็เป็นเพราะสถานที่แห่งนั้นอาจจะกำลังเก็บซากของเอเลี่ยนเอาไว้ เลยไม่อยากให้ใครได้รับรู้ แต่นั้นก็เพียงแค่ข้อสันนิฐาน ดังนั้นเรามาดู้อเท็จจริงของแอเรียที่ 51 กันดีกว่ามันมีเรื่องเป็นอย่างไรบ้างเท่าที่เราได้รู้
อับดับแรกที่แน่ๆมันเป็นสถานที่วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารของสหรัฐ ซึ่งที่ตั้งของเอเรียที่ 51 นั้น อยู่รัฐเนวาด้า และกินพื้นที่ถึง 11,735 ตารางกิโลเมตร ซึ่งสามาเหตุที่สร้างขึ้นมานั้น อาจจะเป็นเพพราะว่าตอนนั้นอยู่ในช่วงสงครามเย็น ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ถึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำการทดลองวิจัย อาวุธและเทคโนโลยีของทางสหรัฐเอง แต่ว่าก็ยังมีบางส่วนที่ไม่เชื่อว่าสถานที่แห่งสร้างขึ้นมาเพื่อวิจัยและทดลองอาวุธเพียงเดียว แต่กลับสงสัยว่า สถานที่แห่งนี้กำลังได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีของต่างดาวที่ทางสหรัฐได้ทำการกู้สร้างซาก UFO ที่ตกได้ ณ เมือง Roswell ในปี ค.ศ. 1947 ซึ่งจากเหตุการณ์นั้นทางการได้ออกมาปฏิเสธว่ามันเป็นเพียงแค่บอลลูนอากาศที่ตกลงมาเท่านั้น
และอีกสิ่งหนึ่งที่เราสงสัยกันนั้นก็คือชื่อ ของเอเรียที่ 51 นั่นเอว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งจริงๆแล้วก่อนหน้านี้สถานท่ีแห่งนี้ก็ไม่ได้ใช้ชื่อแอเรียที่ 51 เพียงชื่อเดียว เพราะตอนในช่วงสงครามเย็นนั้นได้มีการเรียกกันว่า Homey Airport หรือไม่ก็เรียกมันว่า Groom Lake แต่ความจริงแล้วก็ยังไม่มีใครหาที่มาที่ไปของสถานที่นี้ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นมาจากการสันนิฐานเอาเองเท่านั้น หรืออจจะเป็นเพราะพื้นที่แห่งนี้ได้แบ่งโซนพื้นที่ในการปฏิบัติงานต่างๆของคณะกรรมการพลังงานปรัมณู โดยพื้นที่ตางนี้ใกล้กับพื้นที่เขต 15 เลยเรียกจุดตรงนี้ว่าเป็น แอเรียที่ 51 อีกทฤษฏีนึงก็บอกว่า เป็นเพราะสหรัฐนั้นมีพื้นที่รัฐถึง 50 รัฐ และพื้นที่ตรงนี้นั้นเป็นพื้นที่ที่มีการปฏิบัติงานแบบพิเศษ จึงได้เพิ่มพื้นที่ที่ 51 คล้ายกับมามันเป็นรัฐพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 รัฐนั่นเอง แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวล นั่นก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิฐานเพียงเท่านั้น เพราะเรื่องทั้งหมดยังไม่ได้มีการรับรองแต่อย่างใด จนถึงทุกวันนี้ชื่อของมันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ ซึ่งเราก็คงต้องรอการเปิดเผยในอนาคต
ด้วยความที่แอเรียที่ 51 นั้นเป็นสถานที่ลึกลับจึงทำให้การเดินทางเข้าไปโดยการบินนั้นค่อนข้างจะลึกลับ จากที่คนแถวนั้นสังเกตได้นั้นคือ บริเวณแห่งนี้มักะมีเที่ยวบินลึกลับที่คอยบินเหนือหลังคาบ้านพวกเขาในยามกลางคืน เพื่อเดินทางไปยังแอเรียที่ 51 ซึ่งคาดเดากันว่าอาจจะเป็นเที่ยวบินที่เอาไว้รับส่งเจ้าที่ที่ทำงานอยู่ภายในแอเรียที่ 51 เพราะว่าการเดินทางโดยวิธีอื่นนั้นค่อนข้างที่จพลำบาก และอาจจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยด้วย จึงทำให้มีเที่ยวบินปริศนาบินเข้าออกสถานที่แห่งนี้บ่อยๆ
และนี่ก็ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เราสามารถรับรู้ได้เกี่ยวกับสถานที่ลึกลับแห่งนี้ เพราะขนาดประธานาธิปบดีก็ยังไม่สามารถเข้าออกหรือสั่งการสถานที่แห่งนี้ 100% ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่ลึกลับมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกของเรา