21
พ.ย.
2023

ข้อมูลเกี่ยวกับการสำรวจดวงจันทร์ เชื่อว่าหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่ามนุษย์เรานั้นสามารถเคยขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์กันมาแล้วดังนั้นในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของการสำรวจดวงจันทร์โดยยานอวกาศที่ถูกส่งไปสำรวจดาวที่อยู่ใกล้กับโรคมากกว่าวัตถุอื่น
ที่อยู่ไกลออกไปในระบบสุริยะและดวงจันทร์ก็เป็นเพียงดวงดาวดวงเดียวที่มนุษย์เคยไปเหยียบนอกจากพื้นโลก
ยานอวกาศใช้เวลาในการเดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ประมาณ 4 วันด้วยกันและได้ทำการสำรวจตามแผนที่วางไว้ด้วยหุ่นยนต์สำรวจซึ่งที่ผ่านมามีภารกิจสำรวจดวงจันทร์มากกว่า 100 ภารกิจและเคยมียานอวกาศลงจอดมากกว่า 40 ลำพื้นที่ที่ลงจอดคือจุดที่แสดงบนผืนภาพซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์เองได้มีการเก็บเป็นข้อมูลเอาไว้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าผิวดวงจันทร์นั้นค่อนข้างเป็นอย่างมากดังนั้นการใช้ยานอวกาศลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์จึงทำได้ค่อนข้างยากซึ่งส่วนใหญ่การลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้นก็มักจะเกิดการชนบนผิวดวงจันทร์และการไปสำรวจดวงจันทร์ครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงปีคริสตศักราช 1959 ส่วนการลงจอดที่นุ่มนวลเป็นครั้งแรกบนดวงจันทร์นั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1966
และหลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมาประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งยานอพอลโล 11 ไปทำการสำรวจบนดวงจันทร์และทำภารกิจบนดวงจันทร์ซึ่งมีมนุษย์ 2 คนขึ้นไปด้วยและกลับมาบนโลกได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย
ยานอวกาศส่วนใหญ่ที่ถูกส่งไปยังดวงจันทร์นั้นเป็นการทำธุรกิจที่มีความคล้ายคลึงกันเช่นยันต์เลสเตอร์ของสหรัฐอเมริกาที่ส่งขึ้นไปเพื่อทำภารกิจทั้งหมด 9 ภารกิจแต่ทำสำเร็จเพียงแค่ 3 ภารกิจในช่วง 20 ปีแรกของการสำรวจดวงจันทร์เป็นเพียงการแข่งขันเพื่อการขยายพื้นที่ทางอวกาศและอำนาจทางการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีโครงการเรนเจอร์ซึ่งโครงการนี้ก็เป็นโครงการของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยโครงการนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อลงจอดบนดวงจันทร์แต่เพื่อชนกระแทกก่อนที่จะชนกระแทกก็ได้ส่งภาพถ่ายบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่น่าทึ่งกลับมายังโลกเพื่อให้เห็นว่าบนดวงจันทร์นั้นมีหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่นอกจากนี้ยังมีหลุมเล็กๆภายในอีกเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด
นอกจากนี้ยังมีโครงการของ runo Hot และโครงการอะพอลโลของประเทศรัสเซียที่มีการส่งยานอวกาศไปสำรวจบนดวงจันทร์อีกด้วย อย่างไรก็ตามไม่ใช่เพียงสหรัฐอเมริกาและประเทศรัสเซียเท่านั้นที่มีการส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์เพราะประเทศจีนเองก็เคยมีการส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์เช่นเดียวกันโดยเป็นการสำรวจในปีค.ศ 2013 ซึ่งถือเป็นการสำรวจดวงจันทร์ครั้งแรกของประเทศจีนและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
สนับสนุนโดย ufabet เว็บตรง
20
พ.ย.
2023
ดวงจันทร์เกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับการกำเนิดของดวงจันทร์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักวิทยาศาสตร์มักจะคิดว่าพวกมันเกิดมาจากดาวเคราะห์ขนาดเล็กชนกับโลกในตอนที่โลกยังอายุน้อยๆประมาณ 4500 ล้านปีก่อนและแน่นอนว่านักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแรงกระแทกที่เกิดขึ้นนั้น
จะทำลายดาวเคราะห์ขนาดเล็กและทำให้เกิดแกนโลกพลิกกลับขั้วเศษเล็กเศษน้อยจากการชนกระจัดกระจายสู่อวกาศและก่อตัวเป็นแม่เมื่อเวลาผ่านไปแถวนั้นก็มารวมกลุ่มกันอีกครั้งหนึ่งแล้วถือกำเนิดกลายเป็นดวงจันทร์นั้นเอง

สำหรับดวงจันทร์นั้นมันจะอยู่ใกล้และสว่างจนเรามองเห็นในเวลากลางวันได้ซึ่งดวงจันทร์นั้นเป็นวัตถุเดียวในอวกาศที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเนื่องจากว่ามันมีขนาด 1 ใน 4 ของโลกทำให้มันเป็นดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวบริวารด้วยกันในระบบสุริยะ
ซึ่งดวงจันทร์มันใหญ่ที่สุดและสว่างที่สุดบนท้องฟ้าตอนกลางคืนนอกจากนี้พื้นผิวของดวงจันทร์นั้นยังมีหลุมอุกกาบาตมากมายที่มองเห็นด้วยกล้องส่องทางไกลหรือว่ากล้องโทรทัศน์
อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดวงจันทร์นั้นถือกำเนิดก่อตัวขึ้นมาเมื่อประมาณ 4500 ล้านปีก่อนแต่พื้นผิวนั้นแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยในเวลาพันล้านปีที่ผ่านมาสำหรับพื้นผิวบนดวงจันทร์นั้นจะเป็นพื้นที่ราบใกล้กับทะเลมืดซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันเกิดจากการปะทุของลาวาที่ไหลท่วมเมื่อประมาณ 3000 ล้านปีก่อน
ดังนั้นพื้นที่บริเวณรอบๆพื้นที่เหล่านี้จึงเป็นที่ราบสูงบนดวงจันทร์ที่มีเนินเขาและหุบเขาเก่าแก่มากมายที่เต็มไปด้วยเศษอุกกาบาตนับไม่ถ้วนนั่นเอง
สำหรับข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับดวงจันทร์ก็คือดวงจันทร์จะหมุนรอบโลก 1 รอบโดยใช้ระยะเวลา 2732 วันและดวงจันทร์นั้นมีมวล 0.1 67 เท่ากับของโลกนอกจากนี้ระยะทางระหว่างดวงจันทร์กับโลกนั้นก็ห่างกันถึง 385000 กิโลเมตรเลยทีเดียวและที่สำคัญเส้นผ่าศูนย์กลางของดวงจันทร์เฉลี่ยอยู่ที่ 3474 กิโลเมตรนั่นเอง
อย่างไรก็ตามสำหรับดวงจันทร์แล้วประกอบไปด้วยแกนชั้นในตามด้วยแกนชั้นนอกและต่อด้วยเนื้อดวงจันทร์ชั้นล่างตามด้วยเนื้อดวงจันทร์และเปลือกซึ่งแต่ละส่วนนั้นก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
ข้อมูลสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับดวงจันทร์ก็คือดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองและใช้เวลาพอๆกับการโคจรรอบโลกดังนั้นเราจึงมองเห็นเพียงด้านไกลของดวงจันทร์เสมอ นอกจากนี้แรงโน้มถ่วงบนดวงจันทร์จะค่อนข้างอ่อนกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกมากเพราะดวงจันทร์มีมวลน้อยดังนั้นเมื่อมีนักบินอวกาศไปเดินอยู่บนดวงจันทร์ก็มักจะมีน้ำหนักแค่ 1 ใน 6 ของน้ำหนักบนโลกและนักบินอวกาศเหล่านั้นก็จะสามารถกระโดดได้สูงกว่าการกระโดดบนโลกถึง 6 เท่าทำไมได้สวมชุดอวกาศที่ถ่วงน้ำหนักเอาไว้
สนับสนุนโดย. เว็บพนันออนไลน์ ฟรีเครดิต
19
พ.ย.
2023
องค์ประกอบของโลก หากพูดถึงโลกที่เราอาศัยอยู่นี้จะมีองค์ประกอบที่สำคัญถึง 6 ส่วนด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยกากันโลกชั้นในและแก่นโลกชั้นนอกรวมถึงเนื้อโลกและเปลือกโลกนอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศนั่นเอง ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาพูดถึงรายละเอียดของส่วนต่างๆของโลกว่ามีองค์ประกอบหรือมีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับแก่นโลกชั้นในนั้นจะมีลักษณะเป็นโลหะแข็งความดันที่สูงมากจะทำให้เหล็กและนิกเกิลมีสถานะเป็นของแข็ง
แม้ว่าจะมีอุณหภูมิสูงถึง 6000 องศาเซลเซียสก็ตาม นอกจากนี้ส่วนที่เป็นแก่นโลกชั้นนอกนั้นจะเป็นส่วนที่อยู่ลึกลงไปจากผิวโลกซึ่งมีความลึกอยู่ที่ประมาณ 30 กิโลเมตรเป็นแก่นโลกชั้นนอกที่ประกอบไปด้วยเหล็กขาวร้อนและนิกเกิลโดยบริเวณนี้จะเป็นโซนที่มีความร้อนมากชั้นนอกมีลักษณะ 18 และไหลวนการไหลวนนี้จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงในส่วนที่เป็นของเนื้อโลกนั้นบริเวณนี้จะอยู่ลึกลงไปจากเปลือกโลกประมาณ 2,900 กิโลเมตรเป็นชั้นหินที่หนาหรือที่เราเรียกกันว่าเนื้อโลกซึ่งบริเวณนี้ความร้อนจากแก่นโลกจะทำให้หินในเนื้อโลกหลอมเหลวเป็นหินหนืดและเคลื่อนตัวอย่างช้าๆการเคลื่อนตัวนี้จะทำให้เปลือกโลกที่อยู่ด้านบนเคลื่อนที่ซึ่งเป็นแบบนี้มานานมากกว่าล้านปีแล้ว
สำหรับบริเวณส่วนที่เป็นเปลือกโลกนั้นเป็นส่วนนอกสุดของโลกที่เป็นของแข็งและมีความหนาเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร
โดยบริเวณนี้เป็นบริเวณที่หนาเป็นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปส่วนบริเวณที่บางเป็นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรอย่างไรก็ตามถัดจากเปลือกโลกใบนั้นเราก็จะเจอกับมหาสมุทรซึ่งโลกนั้นถือว่าเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีหน้าที่เป็นของเหลวปริมาณมากบนพื้นผิวจึงทำให้มีสิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้บนมหาสมุทรนี้มีน้ำปริมาณร้อยละ 97 นอกนั้นเป็นน้ำที่อยู่ในอากาศแม่น้ำทะเลสาบและน้ำแข็ง
อย่างไรก็ตามนอกจากชั้นมหาสมุทรแล้วชั้นนอกสุดก็คือชั้นของบรรยากาศซึ่งชั้นนี้จะเป็นชั้นที่ห่อหุ้มช่วยปกป้องโลกจากอวกาศมีองค์ประกอบเป็นแก๊สไนโตรเจนร้อยละ 78 และยังมีแก๊สออกซิเจนร้อยละ 21 รวมถึงมีแก๊สอื่นๆเพียงเล็กน้อยยกตัวอย่างเช่นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสัดส่วนคงที่ที่มีมานานมากกว่า 200 ล้านปีมาแล้ว
อย่างไรก็ตามสำหรับชั้นบรรยากาศของโลกนั้นมีทั้งหมด 5 ชั้นด้วยกันแต่มีเพียงชั้นล่างสุดเท่านั้นที่มีเมฆและอากาศที่สามารถใช้ในการหายใจได้ดังนั้นนักบินส่วนใหญ่จะเบนอยู่ในชั้นสตราโทสเฟียร์เพราะไม่มีเมฆคอยปกบันวิสัยทัศน์ชั้นบรรยากาศไม่มีขอบเขตแบ่งชั้นที่ชัดเจนส่วนขอบเขตระหว่างชั้นบรรยากาศกับอวกาศอยู่ในชั้นเทอร์โมสเฟียร์ที่สูงจากพื้นดินขึ้นไปประมาณ 100 กิโลเมตร
สนับสนุนโดย สล็อต ufabet เว็บตรง
16
พ.ย.
2023
ดาวเคราะห์ที่มีสภาพที่ใกล้เคียงกับโลก สำหรับในระบบสุริยะจักรวานของเรานั้น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีดาวเคราะห์อยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้มีการลองสำรวจว่าดาวเคราะห์ดวงไหนที่มีความเหมือนหรือมีความใกล้เคียงกับโลกบ้าง โดยในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นหาจนเจอกับดาวเคราะห์ที่มีจำนวนมากกว่า 4500 ดาวงแล้วในระบบสุริยะจักรวานนี้

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีการค้นพบดาวเคราะห์เยอะแยะมากมาย แต่ไม่ใช่ว่าดาวเคราะห์ทุกดวงจะทำให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
ซึ่งผลจากการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าในตอนนี้ที่ค้นพบดาวเคราะห์ประมาณ สี่พันห้าร้อยดวงนั้นมีแค่ประมาณ ยี่สิบสี่ดวงเท่านั้นที่มีสภาพใกล้เคียงกับโลกพอที่จะให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
ซึ่งในบทความนี้เราจะมายกตัวอย่างดาวเคราะห์บางดวงให้ทราบกัน สำหรับในบทความนี้ จะยกตัวอย่างเช่น ดาวทีการ์เด้นบี ดาวแคปเลอร์-1639 บี และดาว แอลเอชเอส 1140 บี เป็นต้น
ทีการ์เด้น B เป็นดาวเคราะห์นอกระบบที่โคจรรอบดาวเคราะห์แดงซึ่งห่างจากระบบสุริยะประมาณ 12 ปีแสง
โดยปกติแล้วดาวเคราะห์แดงจะสามารถปล่อยแสงปะทุที่สามารถพัทยาชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ในวงโคจรของมันออกไปได้
จะได้หลักดวงนี้ค่อนข้างสงบและเยือกเย็นที่ Garden b มีมวลเกือบเท่ากับโลกมันเดินทางรอบวงโคจรได้สมบูรณ์ในเวลาแค่ประมาณ 5 วันใช้คุณเข้าใจถูกแล้ว 1 ปี บนทีการ์เด้น B ใช้เวลาน้อยกว่า 1 สัปดาห์บนโลกซะอีก
แคปเลอร์ -1638 บี ดาวเคราะห์ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่ใกล้ที่สุดคือ แคปเลอร์ -1638 บี มันอยู่ในกลุ่มดาวหงส์ซึ่งอยู่ห่างจากเราไปเกือบ 30 ปีแสงเมื่ออยู่ในชั้น Super ซึ่งมีขนาดกว้างกว่าโลกของเรา 2 เท่าและมีน้ำหนักมากกว่าโลกของเราสี่เท่าอย่างนั้นแรงโน้มถ่วงของมันจะมีความแข็งแกร่งมากถึงแม้แต่การกระโดดธรรมดาธรรมดาก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับคุณรหัสดาวเคราะห์นี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆมันจะเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้
แอลเอชเอส 1140 บี ดาวเคราะห์ดวงนี้มีหินและของแข็งประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก และขนาดของมันจะใหญ่กว่าโลกเพียง 40 เปอร์เซ็นต์แต่เมื่อกลับมีมวลหนักมากกว่าโลกถึง 7 เท่าและมีแรงดึงดูด 3.2 5g ซึ่งเทียบได้ด้วย ถ้าหากคุณขึ้นเครื่องบินตัวของคุณจะมีน้ำหนักเกินไป 1.5 G ดังนั้นบนดาวเคราะห์นี้คุณ จึงแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่
ด้วยความที่มันมีมวลมากดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีบรรยากาศที่หนาขึ้น ปรากฏการณ์เรือนกระจกอุณหภูมิชองมันอาจมีสูงกว่าลบ 7 องศาเซลเซียส แล้วมันสามารถหมุนรอบวงโคจรได้ในเวลาอันสั้นโดยใช้เวลาเพียงแค่ 24 วันเท่านั้น
สนับสนุนโดย ดูบอลสด
14
พ.ย.
2023

คุณรู้หรือไม่ว่าสมองของไอสไตน์ เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักอัลเบิร์ตไอน์สไตน์กันเป็นอย่างดีเนื่องจากว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากและเขาเป็นบุคคลที่ถือว่าฉลาดติดอันดับต้นๆของโลก
เรียกได้ว่าเขาเป็นบุคคลอัจฉริยะเลยก็ว่าได้ซึ่งคุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมไอสไตน์ถึงมีมันสมองที่ฉลาดกว่าบุคคลทั่วไปสมองของไอสไตน์และมีความแตกต่างจากสมองของคนทั่วไปอย่างไรซึ่งในบทความนี้เราจะมาหาข้อมูลและมาทำการวิเคราะห์กัน
อย่างไรก็ตามคุณรู้หรือไม่ว่าหลังจากที่ ไอสไตน์ ได้เสียชีวิตลงนั้นเขาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีด้วยหลังจากที่เขาตายไปยังไม่เกิน 8 ชั่วโมงนายแพทย์ก็ได้มีการผ่าเอาสมองของไอสไตน์ออกมาเพื่อดูว่าสมองของเขานั้นมันแตกต่างจากสมองของคนทั่วไปอย่างไรจึงจะสามารถได้ข้อพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องของความแตกต่างของสมองของไอสไตน์และสมองของคนทั่วไปนั่นเอง
อย่างไรก็ตามหากใครที่มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของชีววิทยาจะทราบเกี่ยวกับเรื่องของการทำงานของระบบสมอง
ซึ่งสมองของคนเรานั้นแบ่งออกเป็นหลายส่วนทั้งสมองส่วนหน้าสมองส่วนกลางและสมองส่วนหลังซึ่งสมองแต่ละส่วนนั้นก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไปอย่างเช่นสมองส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับเรื่องของอารมณ์ระบบประสาทต่างๆไม่ว่าจะเป็นความดันอุณหภูมิร่างกายความหิวความง่วงทั้งหมดก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปทาลามัสนั่นเอง
หรือถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องของความจำความรู้ต่างๆก็จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเซรั่มหรือแม้แต่กล้ามเนื้อการสั่งการเรื่องของการกินอาหารการเคี้ยวอาหารการได้รสกลิ่นเสียงต่างๆก็จะมีส่วนอื่นๆที่เข้ามาดูแลดังนั้นความแตกต่างของสมองของไอสไตน์และสมองของคนเราก็จะแตกต่างจากสมองส่วนนี้
เพราะไอน์สไตน์นั้นจะมีสมองส่วนที่เป็นอัลบั้มซึ่งเป็นสมองส่วนที่มีความรู้ความจำความเข้าใจเป็นอย่างดีนั้นใหญ่กว่าสมองส่วนอื่นๆของร่างกายนั่นเองทำให้เขามีความจำเป็นเลิศมีความฉลาดมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปนั่นเอง
อย่างไรก็ตามสมองทุกส่วนเนื้อมีความสำคัญต่อร่างกายทั้งหมดถ้าหากว่าสมองส่วนใดส่วนหนึ่งนะสูญเสียหรือไม่ครบประกอบชำรุดก็จะทำให้บุคคลดังกล่าวนั้นกลายเป็นบุคคลที่ไม่สมประกอบก็เป็นไปได้เช่นสมองส่วนที่สั่งการเกี่ยวกับเรื่องของการกินอาหารการแสดงกล้ามเนื้อใบหน้าหรือการได้กลิ่นการรับรสถ้าสมองส่วนนี้มีปัญหาบกพร่อง
ก็อาจจะทำให้การเคี้ยวอาหารการกินอาหารทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพหรืออาจจะกินอาหารไม่ได้เลยก็เป็นไปได้จะต้องมีการกินอาหารผ่านทางสายยางหรือถ้าเกิดว่าสมองส่วนที่เป็นไฮโปทาลามัสมีความบกพร่องก็จะทำให้ร่างกายนั้นไม่แข็งแรงมีอาการหงุดหงิดง่ายเป็นต้น
สนับสนุนเนื้อหาโดย สล็อต ufabet แตกง่าย
30
ต.ค.
2023
เมื่อพูดถึงไดโนเสาร์หลายคนคงชื่นชอบมันเป็นอย่างมากเพราะมันเป็นสัตว์ในตำนานที่มีความยิ่งใหญ่อลังการจะเห็นได้จากปัจจุบันนั้นคนมีการนำเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์มาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครต่างๆมากมายให้ผู้คนได้ชมและได้รับรู้กันว่าในสมัยโบราณ

เมื่อหลายล้านปีมาแล้วนั้นโลกเราเคยมีสัตว์ที่ชื่อว่าไดโนเสาร์ภาคมีหลายสายพันธุ์แต่มันก็เป็นเพียงแค่อดีตและปัจจุบันนั้นไดโนเสาร์ไม่มีจริงมีเพียงแค่ซากฟอสซิลที่เราสามารถพบเจอเพียงเท่านั้น
ซึ่งจะเห็นได้จากว่าทุกคนให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของไดโนเสาร์เป็นอย่างมากเพราะมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับไดโนเสาร์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดในทั่วโลกที่เราสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมได้แล้วมีการนำกระดูกไดโนเสาร์ซากฟอสซิลของไดโนเสาร์มาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวนั้นเยอะแยะมากมาย
อะไรก็ตามจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งตรวจสอบจากซากฟอสซิลที่ขุดเจอพบว่าไดโนเสาร์เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก่อนที่มนุษย์และมันก็ได้สูญพันธุ์ไปก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ซึ่งการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์นั้นนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่ามันสูญพันธุ์มาแล้วมากกว่า 65 ล้านปี อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ได้มีการสงสัยและต้องการหาความรู้ว่าการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ครั้งใหญ่น้อยลงมีต้นเหตุหรือสาเหตุมาจากอะไร
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ซึ่งในยุคที่ไดโนเสาร์ยังคงมีอยู่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ที่ทำให้ไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์ยักษ์ใหญ่ต้องกลายเป็นสัตว์สูญพันธุ์หรือเป็นเพียงแค่ตำนาน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของนักวิทยาศาสตร์นี่เองที่ทำให้เกิดทฤษฎีต่างๆขึ้นมามากมาย เพื่อนำมาใช้เป็นคำอธิบายในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ซึ่งทฤษฎีต่างๆนั้นมีเพียงแค่ 2 ทฤษฎีใหญ่ๆที่มีความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดนั่นก็คือ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นเกิดขึ้น
มาจากการที่อาจจะมีอุกกาบาตหรือไม่ดาวหางดวงใหญ่ๆพุ่งมาชนโลก หรืออาจจะเกิดจากการที่บนโลกใบนี้มีภูเขาไฟเกิดขึ้นและภูเขาไฟก็มีการเกิดการปะทุครั้งใหญ่ส่งผลทำให้เราอาศัยและทำให้ไดโนเสาร์นั้นถูกไฟจากลาวาคลอกตาย
นอกจากนี้ถ้าหากว่าเรานึกว่ามีๆกรณีที่อุบาทว์ผู้ชมโลกหรือแม้แต่ภูเขาไฟระเบิดเหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลทำให้โลกใบนี้มีฝุ่นเต็มไปหมดแล้วด้วยตัวเองที่มันกระจายไปทั่วทำให้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังโลกส่งผลทำให้สิ่งมีชีวิตภายในโลกใบนี้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเช่นต้นไม้ก็อาจจะตาย
เพราะว่าไม่มีแสงแดดมาสังเคราะห์รวมถึงสัตว์ต่างๆก็อาจจะตายและสูญพันธุ์ได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าทฤษฎีนี้จะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างจะร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ไม่สามารถที่จะฟันธงได้เพราะไม่มีหลักฐานที่จะสามารถยืนยันทฤษฎีต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์ได้ลองคิดขึ้นมาจึงทำให้ปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถรู้สาเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง
สนับสนุนโดย. ufabet ฝาก-ถอน เอง
27
ต.ค.
2023

ทำไม ถึงเรียกโลกใบนี้ว่า Earth เมื่อพูดถึงโลกที่เราอาศัยอยู่ผู้คนจะเรียกดาวดวงนี้ที่เราอาศัยกันอยุ่นี้ว่า Earth หรือหากคนไทยก็แปลได้ว่าคือโลกนั่นเอง
แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่าใครเป็นคนที่ตั้งชื่อดาวดวงนี้เป็นดวงแรกว่าEarth แล้วทำไมถึงเรียกดาวดวงนี้ว่าEarth หากว่าเคยสังเกตให้ดีและมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของดวงดาวจะเห็นได้ว่าดาวดวงอื่นๆนั้นจะมีการตั้งชื่อเลือดซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นการตั้งตามชื่อของเทพเจ้ากรีกแต่มีเพียงแค่ดาวโลกซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวเท่านั้นที่ไม่มีการตั้งชื่อตามชื่อของเทพเจ้ากรีก หรือว่าเรามันทำให้เราสงสัยว่าที่มาที่ไปของคำว่าEarth เกิดขึ้นมาได้อย่างไรและใครเป็นคนตั้งให้เรียกEarth เป็นคนแรก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลายคนจะมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการเรียกชื่อดาวเคราะห์ดวงนี้ว่าโลกแต่ก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าใครเป็นคนตั้งชื่อดาวเคราะห์นี้ว่าโลก
โดยไม่มีเอกสารอะไรที่เป็นหลักฐานอ้างอิงได้เลยแม้แต่ว่านักวิทยาศาสตร์จะพยายามค้นหามากแค่ไหนก็ตาม เส้นทางนักวิทยาศาสตร์ก็มีการตั้งทฤษฎีที่สามารถที่จะกล่าวได้ว่ามันมีความเป็นไปได้เพียงเท่านั้นแต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ยังไงก็ตามนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคำว่า Earth งั้นน่าจะมีการใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปีมาแล้วโดยมี เว็บพนัน ufabet รากศัพท์มาจากคำว่า Eor (th )e ซื้อมาจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษและยังมี ertha ซึ่งมาจากภาษาเยอรมันนำมารวมกัน ซึ่งคำศัพท์ทั้งสองคำนั้นเป็นคำศัพท์ภาษาโบราณโดยความหมายของคำศัพท์ดังกล่าวก็คือพื้นดินนั่นเอง
สำหรับนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคนโบราณน่าจะยังไม่เคยรู้จักโลกว่าโลกนั้นเป็นดาวเคราะห์ ดวงหนึ่งเพียงเท่านั้นเพราะฉะนั้นคนโบราณจึงได้สรรหาคำมาเรียกพื้นแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้ว่าโลก หรือ Earth แต่คนโบราณน่าจะมีความเชื่อว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้นั้นเป็นเพียงแค่สถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้นส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่หมุนเวียนทำให้เรามองเห็นเมื่อยามเรามองไปที่บนท้องฟ้านั้นคือเทพเจ้าที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมามองดูโลกเพียงเท่านั้น และด้วยมุมมองนี้เองที่ทำให้คนโบราณไม่ได้มีการตั้งชื่อโลกเหมือนกับชื่อของเทพเจ้า
อย่างไรก็ตามแต่นี่ก็เป็นเพียงแค่ทฤษฎีและมีความน่าจะเป็นไปได้เท่านั้นแต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะสามารถนำมาเย็นๆได้ว่าความคิดนี้ของนักวิทยาศาสตร์นั้นเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่เป็นรูปประธรรมที่จะสามารถมายืนยันแนวความคิดได้ไงนั่นเอง ดังนั้นความลับที่ว่าทำไมดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกมีการเรียกชื่อว่าEarth หรือโลก จึงยังคงเป็นความลับอยู่ต่อไปซึ่งยังคงไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนหรือใครก็ตามแต่ในโลกใบนี้ที่จะสามารถหาคำตอบได้ที่แท้จริง
24
ต.ค.
2023

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดวงจันทร์ ดวงจันทร์คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นดาวบริวารของโลกแสงของดวงจันทร์นั้นจะส่องมาให้ความสว่างต่อมนุษย์โลกในทุกค่ำคืนยังไงก็ตามดวงจันทร์นั้นเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่นอกโลกมันมีความลับของมันซ่อนอยู่สำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดวงจันทร์ที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนมาดูกันว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดวงจันทร์นั้นมีอะไรบ้าง
หลายคนอาจจะเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของดวงจันทร์ว่าแท้ที่จริงแล้วดวงจันทร์นั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรซึ่งนักวิทยาศาสตร์เองก็มีความสงสัยเช่นเดียวกัน
และนักวิทยาศาสตร์ก็มีการมาวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของการกำเนิดของดวงจันทร์ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นว่าดวงจันทร์นั้นเกิดขึ้นมาจากการชนกันในอวกาศซึ่งสิ่งที่ชนกันในอวกาศนั้นก็อาจจะเป็นวัตถุขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในอวกาศชนเข้ากับโรคแล้วเกิดเป็นเศษหินกระจัดกระจายไปทั่วทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์อยู่ใกล้กับโลกของเรานั่นเอง
อย่างไรก็ตามเวลาที่เรามองขึ้นไปบนดวงจันทร์เราจะเห็นว่าดวงจันทร์นั้นเป็นลักษณะของรูปทรงกลมอย่างที่เราเคยได้ยินคนพูดกันบ่อยๆว่าหน้ากลมเหมือนพระจันทร์แต่อันที่จริงแล้วคุณรู้ไหมว่านักวิทยาศาสตร์ได้มีการไปสำรวจดวงจันทร์มาแล้วและพบว่าดวงจันทร์แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่รูปทรงกลมอย่างที่เราเข้าใจกันแต่ลักษณะของดวงจันทร์ที่อยู่นอกโลกเราเป็นลักษณะที่แท้จริงของดวงจันทร์นั้นมันมีลักษณะคล้ายกับรูปทรงไข่เลยทีเดียว
นอกจากนี้ดวงจันทร์ยังเป็นดาวบริวารที่มีความใกล้ชิดกับดวงอาทิตย์มากที่สุด ซึ่งนับว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 3 ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ต่อจากดาวพุธและดาวศุกร์นั่นเอง
นอกจากนี้เนื่องจากเส้นผ่าศูนย์กลางของดวงจันทร์นั้นมีการคัดออกมาแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2159 ไมล์ ดังนั้นจึงทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสันนิษฐานได้ว่าดวงจันทร์นั้นเป็นดาวบริวารที่ใหญ่อันดับที่ 5 ในระบบสุริยะจักรวาลซึ่งดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาลนั้นก็คือดาวพฤหัสบดีและตามด้วยดาว panus ต่อมาก็เป็นดาวไททันและดาวคาลิสโต้และสุดท้ายก็มาที่ดวงจันทร์นั่นเอง
อย่างไรก็ตามเรื่องราวเกี่ยวกับดวงจันทร์ยังมีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดอย่างเช่นดวงจันทร์นั้นก่อให้เกิดระบบจันทรุปราคาซึ่งโดยปกติแล้วจันทรุปราคานั้นเราจะไม่ค่อยเห็นกันบ่อยมากนักส่วนใหญ่ที่เราเห็นนั้นจะเป็นสุริยุปราคาเสียมากกว่าเพราะในหลายร้อยปีนั้นถึงจะเกิดจันทรุปราคาสักครั้งหนึ่งนั้นเอง
อย่างไรก็ตามเรื่องราวเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดวงจันทร์นะยังมีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดซึ่งถ้าหากใครสนใจก็สามารถที่จะศึกษาข้อมูลตามหนังสือวิทยาศาสตร์ได้เพราะเรื่องราวเหล่านี้นั้นผู้ที่หาคำตอบได้นั่นก็คือนักวิทยาศาสตร์นั่นเอง
สนับสนุนโดย ทางเข้า UFABET ภาษาไทย
ต.ค.
2023

เชื่อว่าเมื่อพูดถึงทะเลโฟมหลายคนอาจจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการจัดปาร์ตี้และมีการนำโฟมมาฉีดเล่นกันในงานปาร์ตี้นั้นแต่อันที่จริงถ้าเลยโฟมที่เรากำลังพูดถึงนี้คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเอง
ตามธรรมชาติเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในทะเล ถ้าหากพูดถึงปรากฏการณ์ทะเลโฟมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเชื่อว่าหลายคนอาจจะนึกไม่ออก เพราะอาจจะไม่ค่อยคุ้นชินหรือไม่ค่อยเห็นเหตุการณ์แบบนี้กันสักเท่าไหร่นัก
ปรากฏการณ์ทะเลโฟม อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ทะเลโฟมนั้นเกิดขึ้นจริงและขณะของทะเลโฟมนั้นก็จะเป็นลักษณะเหมือนกับทะเลคาปูชิโน่
ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงพอจะนึกภาพกาแฟคาปูชิโน่ออกที่มันจะมีฟองขึ้นด้านบนของแก้วกาแฟคาปูชิโน่นั้นเอง สำหรับปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทางทะเลซึ่งลักษณะของทะเลโฟมนั้นมันเป็นการลักษณะของคลื่นที่ซัดเอาโฟมเข้ามาแถวบริเวณชายฝั่งด้วย
จำนวนโฟมที่มากมายมหาศาล ซึ่งเมื่อหลายคนที่ได้เห็นทะเลโฟมไม่ได้เกิดความหวาดกลัวแต่เขารู้สึกว่ามันคือสถานที่ที่สามารถจัดงานปาร์ตี้ได้ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าจะมีผู้คนที่ได้เห็นปรากฏการณ์ทะเลโฟมลงไปเล่นทะเลโฟมกันอย่างคับคลั่งกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามถ้าหากใครนึกถึงปรากฏการณ์ทะเลโฟมไม่ออกว่ามันมีลักษณะแบบไหนถ้าหากนึกถึงกาแฟคาปูชิโน่แล้วยังนึกถึงภาพได้มาชัดเจนแนะนำว่าคุณลองนึกถึงภาพว่าคุณมีการซักผ้าโดยใช้ผงซักฟอกเยอะมากจนเกินไปจนเกิดฟองขึ้นเต็มกะละมังซักผ้าของคุณนอกจากนี้ลองของผงซักผ้าที่เป็นกะละมังนั้นยังเป็นสีขุ่นรอดูสกปรกเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าผู้คนจะสนุกสนานกับการเล่นทะเลโฟมแต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทะเลโฟมนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อย่างไรก็ตามจากการที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการเข้ามาวิเคราะห์เกี่ยวกับการเกิดปรากฏการณ์ทะเลโฟมนั้นเชื่อว่ามันมีปัจจัยที่สามารถเกิดขึ้นได้หลายอย่าง
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปรากฏการณ์นี้มันจะเกิดขึ้นมาจากการสะสมขยะในท้องทะเลหรือแม้แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดภาวะโลกร้อนอุณหภูมิในท้องทะเลนั้นสูงขึ้น หรือมีทั้งทะเลมีเกลือเป็นจำนวนมากเกินไปนอกจากนี้อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับคลื่นลมแรงที่ตีน้ำให้กลายเป็นฟองได้
นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์กันว่าแท้ที่จริงแล้วปรากฏการณ์ทะเลโฟมนั้นน่าจะเกิดจากการที่ในท้องทะเลมีขยะมากเกินไปและขยะก็มีการผสมเข้ากับเกลือในทะเล หลังจากนั้นก็กลายเป็นฟองในน้ำอุ่นอุ่น หลังจากนั้นฟองต่างต่างเหล่านี้ก็ถูกคลื่นและลมพัดเข้ามาที่บริเวณชายฝั่ง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าผู้คนจะยังไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าปรากฏการณ์ทะเลโฟมนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรแต่เมื่อใดก็ตามที่มีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นผู้คนต่างก็ชื่นชอบเพราะการเล่นทะเลโฟมนั้นมันค่อนข้างสนุกสนานมากนั่นเอง
สนับสนุนโดย โหลดบาคาร่าออนไลน์ มือถือ
21
ต.ค.
2023
เมื่อพูดถึงไดโนเสาร์หลายคนคงชื่นชอบมันเป็นอย่างมากเพราะมันเป็นสัตว์ในตำนานที่มีความยิ่งใหญ่อลังการจะเห็นได้จากปัจจุบันนั้นคนมีการนำเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์มาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครต่างๆมากมายให้ผู้คนได้ชมและได้รับรู้กันว่าในสมัยโบราณ
เมื่อหลายล้านปีมาแล้วนั้นโลกเราเคยมีสัตว์ที่ชื่อว่าไดโนเสาร์ภาคมีหลายสายพันธุ์แต่มันก็เป็นเพียงแค่อดีตและปัจจุบันนั้นไดโนเสาร์ไม่มีจริง

การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ มีเพียงแค่ซากฟอสซิลที่เราสามารถพบเจอเพียงเท่านั้นซึ่งจะเห็นได้จากว่าทุกคนให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของไดโนเสาร์เป็นอย่างมากเพราะมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับไดโนเสาร์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดในทั่วโลกที่เราสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมได้แล้วมีการนำกระดูกไดโนเสาร์ซากฟอสซิลของไดโนเสาร์มาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวนั้นเยอะแยะมากมาย
อะไรก็ตามจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งตรวจสอบจากซากฟอสซิลที่ขุดเจอพบว่าไดโนเสาร์เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก่อนที่มนุษย์และมันก็ได้สูญพันธุ์ไปก่อนที่มันจะเกิดขึ้นซึ่งการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์นั้นนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่ามันสูญพันธุ์มาแล้วมากกว่า 65 ล้านปี อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ได้มีการสงสัย
และต้องการหาความรู้ว่าการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ครั้งใหญ่น้อยลงมีต้นเหตุหรือสาเหตุมาจากอะไร ซึ่งในยุคที่ไดโนเสาร์ยังคงมีอยู่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ที่ทำให้ไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์ยักษ์ใหญ่ต้องกลายเป็นสัตว์สูญพันธุ์หรือเป็นเพียงแค่ตำนาน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของนักวิทยาศาสตร์นี่เองที่ทำให้เกิดทฤษฎีต่างๆขึ้นมามากมาย ufabet เพื่อนำมาใช้เป็นคำอธิบายในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ซึ่งทฤษฎีต่างๆนั้นมีเพียงแค่ 2 ทฤษฎีใหญ่ๆที่มีความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดนั่นก็คือ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นเกิดขึ้นมาจากการที่อาจจะมีอุกกาบาตหรือไม่ดาวหางดวงใหญ่ๆพุ่งมาชนโลก
หรืออาจจะเกิดจากการที่บนโลกใบนี้มีภูเขาไฟเกิดขึ้นและภูเขาไฟก็มีการเกิดการปะทุครั้งใหญ่ส่งผลทำให้เราอาศัยและทำให้ไดโนเสาร์นั้นถูกไฟจากลาวาคลอกตาย
นอกจากนี้ถ้าหากว่าเรานึกว่ามีๆกรณีที่อุบาทว์ผู้ชมโลกหรือแม้แต่ภูเขาไฟระเบิดเหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลทำให้โลกใบนี้มีฝุ่นเต็มไปหมดแล้วด้วยตัวเองที่มันกระจายไปทั่วทำให้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังโลกส่งผลทำให้สิ่งมีชีวิตภายในโลกใบนี้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเช่นต้นไม้ก็อาจจะตาย
เพราะว่าไม่มีแสงแดดมาสังเคราะห์รวมถึงสัตว์ต่างๆก็อาจจะตายและสูญพันธุ์ได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าทฤษฎีนี้จะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างจะร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ไม่สามารถที่จะฟันธงได้เพราะไม่มีหลักฐานที่จะสามารถยืนยันทฤษฎีต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์ได้ลองคิดขึ้นมาจึงทำให้ปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถรู้สาเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง